โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระงับการขึ้นภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พร้อมเลื่อนการขึ้นภาษีสินค้าเหล่านี้ไปเป็นวันที่ 2 เมษายน หรืออีกราว 1 เดือนข้างหน้า
โดยข้อตกลง USMCA ครอบคลุมสินค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อขายระหว่าง 3 ประเทศ แต่ก็ยังมีสินค้าบางประเภทที่ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีและยังคงถูกเก็บภาษีต่อไป อาทิ ผลิตภัณฑ์พลังงานบางประเภท เช่น น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ยังคงถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตรา 10% ขณะที่ผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียมเองก็จะยังคงถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% โดยมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งทั้งเม็กซิโกและแคนาดาต่างก็เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของตลาดสหรัฐฯ
ด้าน โดมินิก เลอบล็อง รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแคนาดา โพสต์ข้อความใน X ระบุว่า แคนาดาจะชะลอการขึ้นภาษีตอบโต้รอบสองต่อสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 125,000 ล้านดอลลาร์แคนาดาไปจนถึงวันที่ 2 เมษายนเช่นเดียวกัน
ทางด้าน ฮาวเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า ในวันที่ 2 เมษายน เราจะเริ่มใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) และหวังว่าเม็กซิโกและแคนาดาจะทำหน้าที่ได้ดีพอในเรื่องการแก้ปัญหาเฟนทานิล ซึ่งการสนทนาในประเด็นนี้จะไม่เกิดขึ้นบนโต๊ะเจรจาแล้ว แต่เราจะพูดถึงเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้เท่านั้น
ทรัมป์ประกาศเตือนว่า มาตรการผ่อนปรนทางภาษีนี้เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเท่านั้น และเขาจะไม่ขยายเวลาการขึ้นภาษีอีกในเดือนหน้า
ในขณะที่ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ที่เตรียมจะก้าวลงจากตำแหน่งในอนาคตอันใกล้นี้ ระบุว่า เขาไม่คาดว่าสงครามการค้าที่ทรัมป์ได้ก่อขึ้นจะคลี่คลายลงในเร็วๆ นี้ เราจะยังคงอยู่ในสงครามการค้าที่สหรัฐฯ ก่อขึ้นต่อไป
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของทรัมป์ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรการด้านภาษีศุลกากร มีความผันผวนอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลง
ภาพ: Craig Hudson / Reuters
อ้างอิง: