วานนี้ (6 มีนาคม) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารเผยแพร่เนื้อหาของคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อท 125/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 13/2568 ลงวันที่ 28 มกราคม 2568 กรณีการนำเอกสารหรือโพยเข้าไปในสถานที่เลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีรายละเอียดดังนี้
ประเด็นที่ 1 การนำเอกสารหรือโพยเข้าไปยังสถานที่เลือกสมาชิกวุฒิสภาได้หรือไม่
ศาลมีคำพิพากษาว่า เรื่องการนำโพยหรือเอกสารที่มีการจดหมายเลขของผู้สมัครอื่นเข้าไปในเขตเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มิได้มีข้อห้ามไว้โดยตรง
จึงเห็นได้ว่ากฎหมายมิได้กำหนดว่าการนำเอกสาร รวมทั้งเอกสารที่จดหมายเลขผู้สมัครอื่นเข้าไปในเขตเลือกตั้งเป็นความผิดในตัวเอง
ดังนั้นเมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดห้าม หรือกำหนดเป็นความผิดไว้ ผู้สมัครย่อมมีสิทธินำเอกสารใดเข้าไปในเขตเลือกตั้งได้ ในทางกลับกัน การห้ามมิให้ผู้สมัครนำเอกสารใดเข้าไปในสถานที่เลือก กกต. จึงจะกระทำมิได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนการเลือก สว. กกต. ออกระเบียบ กกต. ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือก สว. พ.ศ. 2567 ข้อ 7 วรรคสอง กำหนดว่า ‘เอกสารแนะนำตัวตามวรรคหนึ่ง จะแจกจ่ายหรือนำเข้าไปในสถานที่เลือกไม่ได้’
อันหมายถึงว่า กกต. ใช้อำนาจออกระเบียบห้ามมิให้ผู้สมัครนำเอกสารแนะนำตัวเข้าไปในสถานที่เลือกสมาชิกวุฒิสภา แต่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนข้อ 7 วรรคสอง ของระเบียบ กกต. ดังกล่าว จึงไม่มีผลบังคับ ผู้สมัครมีสิทธินำเอกสารแนะนำตัวเข้าไปในสถานที่เลือก
และเหตุในเบื้องต้นทำให้เห็นว่า เอกสารอื่นที่ไม่มีกฎหมายห้ามหรือกำหนดเป็นความผิดไว้ ผู้สมัครก็ย่อมนำเข้าไปในสถานที่เลือกได้
ดังนั้นเมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามหรือกำหนดเป็นความผิดไว้ ผู้สมัครย่อมมีสิทธินำเอกสารใดเข้าในสถานที่เลือกได้ การห้ามมิให้ผู้สมัครนำเอกสารใดเข้าไปในสถานที่เลือก กกต. กระทำมิได้
ประเด็นที่ 2 และประเด็นที่ 3 โพยผิดกฎหมายหรือไม่ และ กกต. ระงับยับยั้งการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่
ศาลมีคำพิพากษาว่า การนำโพยหรือเอกสารที่จดหมายเลขผู้สมัครเข้ามาในสถานที่เลือก สว. ที่ศูนย์การค้าอิมแพ็ค เมืองทองธานี กฎหมายมิได้กำหนดว่าการนำเอกสาร รวมทั้งเอกสารที่จดหมายเลขผู้สมัครอื่นเข้าไปในเขตเลือกตั้งเป็นความผิดในตัวเอง
อย่างไรก็ตาม กกต. ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมเลือก สว. ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม โดยศาลเห็นว่าก่อนที่ กกต. จะมีคำสั่งใดๆ อันจะเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิของผู้สมัครเพื่อให้คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์และเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งนั้น กกต. ต้องตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของเงื่อนไขว่า ‘มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า’ หรือ ‘มีเหตุอันควรสงสัยว่า’ มิใช่ กกต. จะสามารถใช้อำนาจได้โดยไม่มีมูลฐานแห่งเหตุอันควร เพราะการใช้อำนาจต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้เท่านั้น
ก่อนการเลือกรอบที่ 2 ในระดับประเทศ กกต. อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 59 วรรคหนึ่ง มีมติเพื่อควบคุมมิให้การเลือกมิเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเป็นการป้องปรามเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสถานที่เลือก
กกต. มอบหมายให้ผู้อำนวยการการเลือกระดับประเทศไปดำเนินการให้เป็นไปตามที่มีคำสั่งด้วยแล้ว กรณีนี้จึงไม่อาจถือได้ว่า กกต. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างใด การมีมติของ กกต. และการดำเนินการตามมติของเลขาธิการ กกต. (ผู้อำนวยการการเลือกระดับประเทศ) ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวก็สัมฤทธิ์ผล
ดังปรากฏตามคำฟ้องว่า เมื่อมีผู้ซุกซ่อนนำโพยเข้าไป ก็มีการยึดและไม่ได้ยินยอมให้มีการนำเข้าไปซึ่งเอกสารใดๆ เข้ามาในเขตเลือกตั้งในรอบที่ 2 ในการเลือกระดับประเทศ จึงเป็นการกระทำตามมติของ กกต.
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดตามคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท 125/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท 13/2568 ลงวันที่ 28 มกราคม 2568 และอยู่ระหว่างโจทก์ขอขยายอุทธรณ์ครั้งที่ 2