×

ระเบียบโลกใหม่ยุคไร้ตำรวจโลก: เมื่อลัทธิ Isolationism กลับมาเรืองอำนาจในรัฐบาลทรัมป์ 2.0

04.03.2025
  • LOADING...
ลัทธิ Isolationism

ข่าวใหญ่ที่สุดในแวดวงภูมิรัฐศาสตร์การเมืองในสัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่พ้นข่าวการปะทะคารมกันของ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน และ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ทำเนียบขาว ส่งผลให้การเจรจาดีลแร่หายากเพื่อแลกกับการช่วยเหลือในสงครามยูเครน-รัสเซียล่มไปอย่างไม่เป็นท่า ซึ่งก็น่าจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่ารัฐบาลของทรัมป์กำลังมุ่งหน้าสู่การลดบทบาทของการเป็นตำรวจโลกของสหรัฐฯ

 

Isolationism

 

ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง นโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ นั้นต่างจากในยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิง เพราะผู้นำในยุคก่อนมีฉันทามติตรงกันว่าพวกเขาจะดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยที่ไม่ยุ่งกับใครในทางการเมืองและการทหาร (ยกเว้นแต่ค้าขาย) พวกเขาจะมุ่งเน้นเฉพาะการดำเนินกิจการภายในประเทศเท่านั้น ซึ่งนโยบายแบบนี้มีชื่อเรียกว่า Isolationism ซึ่งแนวคิดแบบนี้ก็มีมาตั้งแต่ยุคก่อร่างสร้างชาติตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีคนแรกอย่าง จอร์จ วอชิงตัน ซึ่งเหตุผลที่วอชิงตันอยากให้ประเทศเกิดใหม่อย่างสหรัฐฯ ถือหลัก Isolationism ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาเห็นประวัติศาสตร์ความหายนะจากความขัดแย้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเก่า (ซึ่งก็คือยุโรป) ทั้งในเรื่องการสูญเสียประชากรและความเสียหายทางเศรษฐกิจ ทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะวางตัวเป็นกลาง แยกตัวเองออกมา ไม่เอาตัวเองออกไปพัวพันกับความยุ่งเหยิงของภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเก่า

 

ที่สำคัญคือด้วยภูมิศาสตร์ของสหรัฐฯ พวกเขาก็สามารถดำเนินนโยบายแบบ Isolationism ได้เพราะมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกเปรียบเสมือนคูเมืองขนาดมหาศาลที่จะป้องกันไม่ให้ใครมาทำสงครามแย่งชิงดินแดนได้ง่ายๆ 

 

สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายแบบ Isolationism มาเรื่อยๆ แม้กระทั่งเมื่อภาคพื้นทวีปยุโรปเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนักจนเกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 พวกเขาก็ยังเลือกที่จะนิ่งเฉย ประธานาธิบดีในขณะนั้นอย่าง วูดโรว์ วิลสัน ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาจะไม่เข้าข้างใคร และจะยังคงค้าขายกับทุกชาติ ซึ่งนโยบาย Isolationism ของวิลสันก็เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวอเมริกัน จนถึงขนาดที่เขาเอาไปใช้เป็นสโลแกนหาเสียง (He kept us out of war) จนทำให้เขาได้รับการเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย

 

แต่อย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่วิลสันได้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สองไม่นาน เขาก็ต้องตัดสินใจนำสหรัฐฯ เข้าร่วมสงครามโลก เพราะจักรวรรดิเยอรมันเริ่มคุกคามอเมริกาโดยตรงมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เริ่มใช้เรือดำน้ำยิงถล่มเรือพาณิชย์นาวีของอเมริกาและชาติสัมพันธมิตร (เหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคงไม่พ้นการที่เยอรมนีจมเรือพาณิชย์นาวีของอังกฤษที่ชื่อ Lusitania ที่ทำให้ผู้โดยสารชาวอเมริกันเสียชีวิตด้วย 128 คน) และการที่สปายของจักรวรรดิเยอรมันเข้ามาก่อการร้ายถึงแผ่นดินสหรัฐฯ ด้วยการลอบวางเพลิงโรงงานทำอาวุธของอเมริกาที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ 

 

ภายหลังสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิเยอรมัน วิลสันพยายามที่จะเป็นผู้นำในการจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations) เพื่อเป็นองค์การระหว่างประเทศที่จะช่วยเจรจาสันติภาพ หากชาติต่างๆ เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาอีกเพื่อจะลดโอกาสการเกิดสงครามขึ้นอีกในอนาคต อย่างไรก็ดี กระแส Isolationism กลับมาแรงอีกครั้งในสังคมอเมริกา และวุฒิสภาไม่ยอมโหวตให้ประเทศสหรัฐฯ เข้าร่วมองค์การสันนิบาตชาติด้วยความคิดที่ว่าสงครามมันจบลงไปแล้วและสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ของยุโรปอีก

 

สงครามโลกครั้งที่ 2

 

สงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิเยอรมัน แต่นั่นก็นำมาสู่การขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์และนาซีเยอรมันอันนำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงแรกของสงคราม ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นอย่าง แฟรนคลิน ดีลานอร์ โรสต์เวลต์ ก็ยังคงดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยแนวคิด Isolationism อย่างเข้มข้น โรสต์เวลต์และสภาถึงกับออกกฎหมาย Neutrality Act ในปี 1935 เพื่อประกาศจุดยืนให้ชัดว่าสหรัฐฯ จะไม่เข้าไปยุ่งกับสงครามอย่างเด็ดขาด 

 

อย่างไรก็ดีสถานการณ์ของสงครามก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในเดือนธันวาคมปี 1941 เมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นตัดสินใจโจมตีฐานทัพเรือที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ในหมู่เกาะฮาวาย ทำให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ และการเข้าร่วมสงครามของสหรัฐฯ นี่เองก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรกลับมาเข้มแข็ง และเอาชนะฝ่ายอักษะไปได้ในที่สุด

 

ภายหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ ไม่ได้กลับไปเป็นชาติ Isolationism แบบสมัยวิลสันในสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะระเบียบของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นเปลี่ยนไป กล่าวคือ โลกแตกออกเป็นสองค่าย คือค่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐฯ และค่ายสังคมนิยมที่นำโดยสหภาพโซเวียต ซึ่งทั้งสองค่ายก็พยายามแผ่อิทธิพลกันไปในประเทศต่างๆ และมีความขัดแย้งกันอยู่เสมอๆ แม้ว่าสองประเทศจะไม่เคยรบกันตรงๆ (หรือเรียกยุคนี้ว่าสงครามเย็นนั่นเอง)

 

ซึ่งสงครามเย็นนี้เองที่ทำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนสถานะจาก Isolationist กลายเป็น Interventionist หรือตำรวจโลก เพราะสหรัฐฯ จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับสงครามในหลายสมรภูมิ เช่น สงครามเวียดนามและสงครามเกาหลี นอกจากนี้ พวกเขายังจำเป็นที่จะต้องสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางทหารและการเมืองไว้สู้กับสหภาพโซเวียต 

 

โดยในฝั่งยุโรป สหรัฐฯ ได้ผูกมิตรกับชาติต่างๆ โดยเฉพาะกับชาติในฝั่งยุโรปตะวันตก โดยมีการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO เพื่อเป็นการร่วมมือกันทางทหาร และเป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ ได้ไปตั้งฐานทัพของตัวเองในยุโรป ส่วนในฝั่งแปซิฟิก สหรัฐฯ ก็ได้เข้าไปตั้งฐานทัพในประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจและมนุษยธรรมผ่าน USAID เพื่อเป็นการแผ่ขยายอำนาจแบบ soft power ไปยังประเทศต่างๆ

 

ซึ่งในที่สุดสงครามเย็นก็สิ้นสุดลงด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคมของปี 1991 ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำของโลกแต่เพียงประเทศเดียว ผลของการสิ้นสุดลงของสงครามเย็น ทำให้ความจำเป็นของสหรัฐฯ ในการที่จะเล่นบทตำรวจโลกนั้นลดน้อยถอยลงไป แต่ประธานาธิบดีคนต่อๆ มาทั้งจากเดโมแครตและรีพับลิกัน (คลินตัน, บุชผู้ลูก และโอบามา) ก็ยังมีฉันทามติร่วมกันว่า สหรัฐฯ ยังมีความจำเป็นที่จะต้องเล่นบทบาทนี้อยู่ เพราะระเบียบโลกใหม่หลังยุคสงครามเย็นจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำ ซึ่งถ้าสหรัฐฯ ไม่รับบทบาทนี้ โลกก็คงจะวุ่นวายปั่นป่วนมากพอสมควร

 

ทรัมป์ และ America First

 

แต่อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความทรงจำเรื่องสงครามเย็นก็เริ่มลดเลือนหายไป ชาวอเมริกันเริ่มเห็นความสำคัญของการเป็นตำรวจโลกลดลงมาเรื่อยๆ (จะยกเว้นก็ในแค่ยุคของบุชผู้ลูกที่มีเหตุการณ์วินาศกรรมที่ตึกเวิลด์เทรด ทำให้คนอเมริกันเห็นว่าสหรัฐฯ จำเป็นต้องเล่นบทตำรวจโลกอีกครั้งเพื่อต้านขบวนการก่อการร้าย จนนำไปสู่สงครามอิรักและอัฟกานิสถาน)  

 

นอกจากนั้น ในสหรัฐฯ เองก็เกิดกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นแรงงานผิวขาวที่มองว่าโลกาภิวัตน์และการค้าเสรีคือต้นเหตุของความเสื่อมของอุตสาหกรรมหนักในสหรัฐฯ อันนำไปสู่ปัญหาการว่างงานและความยากจนในรัฐที่เคยพึ่งพาอุตสาหกรรมหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตมิดเวสต์

 

ทรัมป์เป็นนักการเมืองคนแรกๆ ที่จับกระแสนี้ได้ โดยที่เขาได้ชูนโยบาย America First ซึ่งเป็นนโยบายที่จะนำสหรัฐฯ ออกมาจากกระแสโลกาภิวัตน์และการค้าเสรี (ซึ่งก็คือแนวคิดแบบ Isolationism นี่เอง) และนโยบาย America First นี้ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจชาวอเมริกัน โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นใช้แรงงานผิวขาวเป็นอย่างมาก จนทำให้เขาชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีถึงสองสมัย

 

ทรัมป์ 2.0 ถูกหนุนด้วย Isolationist เต็มพรรครีพับลิกัน

 

ทรัมป์ในสมัยแรกยังไม่สามารถดำเนินนโยบายแบบ Isolationism ได้เต็มตัว เพราะเขายังถูกต่อต้านด้วยนักการเมืองสายเหยี่ยวหรือ Interventionist ภายในพรรครีพับลิกันเอง ซึ่งนำโดยผู้นำในวุฒิสภาอย่าง สว. มิทช์ แมคคอนเนลล์

 

แต่อย่างไรก็ดี 8 ปีหลังจากการก้าวขึ้นสู่อำนาจของทรัมป์ในครั้งแรก ทรัมป์ได้เปลี่ยนพรรครีพับลิกันไปโดยสิ้นเชิง เพราะเขาได้กำจัดนักการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับเขาด้วยการบีบให้เกษียณตัวเองจากการเมือง (รวมทั้งแมคคอเนลล์) หรือสนับสนุนให้นักการเมืองที่สนับสนุนเขาลงเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อไปดำรงตำแหน่งแทน ส่งผลให้นักการเมืองสายเหยี่ยวของรีพับลิกันที่เคยครองพรรคในยุคบุชผู้ลูก ถูกแทนที่ด้วยนักการเมืองสาย America First ผู้ที่พร้อมจะยกมือโหวตให้กับทุกสิ่งที่ทรัมป์ต้องการ และนั่นก็น่าจะทำให้การดำเนินนโยบายแบบ Isolationism เป็นไปอย่างราบรื่นกว่าการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรก ซึ่งเราจะเห็นได้จากการที่ทรัมป์ดำเนินนโยบายเหล่านี้อย่างรวดเร็วภายในเดือนแรกของการดำรงตำแหน่งด้วยการถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก, ถอนตัวจากสนธิสัญญาลดโลกร้อนที่ปารีส และเลิกสนใจการที่จะมี soft power ด้วยการตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศผ่าน USAID

 

การถอนตัวจากสงครามยูเครน-รัสเซียคือหมุดหมายต่อไป

 

ทรัมป์และรองประธานาธิบดีของเขาพูดไว้เสมอๆ ตั้งแต่ตอนหาเสียงปีที่แล้วว่า พวกเขามองว่าการช่วยยูเครนเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยใช่เหตุ และพวกเขาจะสนับสนุนให้ยูเครนยอมเจรจากับรัสเซียโดยเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าท่าทีแบบนี้ของสหรัฐฯ ย่อมทำให้ปูตินได้เปรียบในการเจรจาเหนือกว่าเซเลนสกีอย่างมากจนน่าจะนำไปสู่การยอมเสียดินแดนบางส่วนของยูเครน

 

การปะทะคารมกันระหว่างทรัมป์และเซเลนสกีที่ทำเนียบขาวนั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากทางการทูต เพราะปกติการเจรจานั้นจะทำกันในทางลับ โดยที่การถ่ายรูปจับมือกันโดยสื่อมวลชนนั้นปกติจะใช้เวลาเพียงสั้นๆ เพื่อสื่อสารให้ประชาชนรู้ว่าสองฝ่ายกำลังจะเจรจากัน ความผิดปกตินี้อาจจะเป็นสัญญาณที่ทรัมป์กำลังจะบอกทุกคนว่าสหรัฐฯ พร้อมจะถอนตัวจากสงครามยูเครน-รัสเซียทุกเมื่อ ทรัมป์ไม่ได้พยายามที่จะเจรจาเรื่องแร่หายากอย่างจริงจัง แถมเขายังพยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ว่าการเจรจานั้นล้มเหลวเพราะความหยิ่งยโสของเซเลนสกี (และสื่อของฝ่ายขวาและของรัสเซียก็พยายามที่จะฉายภาพนั้นออกมา) 

 

โลกที่ไร้ตำรวจโลก

 

โลกในยุคหลังสงครามเย็นเป็นต้นมามีสันติภาพและความสงบสุขพอสมควร (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20) ภายใต้บทบาทตำรวจโลกของสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุที่ประเทศต่างๆ พากันเกรงพระเดชและพระคุณของพญาอินทรี

 

เป็นที่น่าสนใจว่าเมื่อทรัมป์เลือกที่จะไม่ใช้พระเดชและพระคุณ (ผ่านการยกเลิก USAID) กับประเทศต่างๆ อีก (ยกเว้นจะเป็นความขัดแย้งโดยตรงกับสหรัฐฯ เอง) สันติภาพที่เราเห็นและคิดว่าเป็นมาตรฐานปกติของภูมิรัฐศาสตร์โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ความขัดแย้งและสงครามระหว่างประเทศจะปะทุขึ้นมาอีกหรือไม่? ลัทธิล่าอาณานิคมที่ประเทศใหญ่ส่งกองทัพมายึดดินแดนของประเทศเล็กอย่างที่รัสเซียทำกับยูเครนอาจจะกลับมาเป็นเรื่องปกติของโลกในศตวรรษที่ 21

ภาพ: Jeerasak Banditram via Shutterstock, Reuters

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising