เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แวดวงรถคลาสสิกเพิ่งสร้างสถิติใหม่ เมื่อรถ Mercedes-Benz W 196 R Stromlinienwagen จากปี 1954 ได้รับการประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.74 พันล้านบาท คว้าตำแหน่งรถคลาสสิกราคาแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
ความพิเศษของ Mercedes-Benz W 196 R Stromlinienwagen หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า Streamliner คันนี้อยู่ที่เคยเป็นรถแข่งของสองนักแข่งรถในตำนานคือ Juan Manuel Fangio และ Stirling Moss อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในรถยนต์ W 196 R ที่สร้างขึ้นมาเพียง 14 คัน โดยมีเพียง 10 คันเท่านั้นที่รอดจากการแข่งขัน Formula 1 ฤดูกาลปี 1955 แถมในจำนวนนั้นมีเพียง 4 คันเท่านั้นที่ยังคงรูปแบบ Streamline ไว้ ส่วนประวัติก็ถือว่าดีเยี่ยม เพราะ Juan Manuel Fangio เคยขับเข้าเส้นชัยในการแข่งขันที่บัวโนสไอเรสในปี 1955
Streamliner คันนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ Indianapolis Motor Speedway ถูกขายไปในงานประมูลรถยนต์ที่จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Mercedes-Benz ในเมืองสตุ๊ตการ์ต ประเทศเยอรมนี มีราคาสูงเป็นรองแค่ Mercedes Benz 300 SLR ‘Uhlenhaut-Coupé’ ปี 1955 ที่มีราคา 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 4.76 พันล้านบาท ซึ่งได้รับการประมูลไปในปี 2022 ส่วนอันดับ 3 คือ Ferrari 330 LM / 250 GTO ปี 1962 ขายได้ในราคา 51.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.73 พันล้านบาท ในปี 2023
รถคลาสสิกเป็นของสะสมในฝันของคนรักรถ ด้วยเสน่ห์ของการได้เป็นเจ้าของรถยนต์ประวัติศาสตร์ควบคู่ไปกับศักยภาพในการทำกำไร และอาจจะเป็นก้าวแรกไปสู่การสะสมรถยนต์ประเภทอื่นๆ ที่มีราคาแพงกว่าในอนาคต ราคาที่เพิ่มขึ้นก็ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ ความหายาก ชื่อเสียง มีจำนวนจำกัด และมีฐานแฟนพันธุ์แท้จำนวนมาก ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วจากสถิติโลกครั้งใหม่ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นสะสมต้องพิจารณาให้รอบคอบและทำความเข้าใจรายละเอียดต่างๆ
รถยนต์คลาสสิกมีต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ทั้งการบูรณะ บำรุงรักษา และจัดเก็บ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไร โดยการบูรณะรถยนต์คลาสสิกให้กลับมาสวยเหมือนใหม่อาจใช้ต้นทุนสูง ต้องใช้ทักษะและชิ้นส่วนเฉพาะทาง ขณะที่การบำรุงรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และการจัดเก็บที่ดี ก็เป็นค่าใช้จ่ายต่อเนื่องที่ต้องนำมาพิจารณาในสมการการลงทุนอีกด้วย
ขณะเดียวกันก็มีข้อเสียคือ สภาพคล่องค่อนข้างต่ำและเบี้ยประกันสูง รวมถึงต้นทุนการขนส่งเพื่อย้ายรถ นอกจากนี้มูลค่าของรถยนต์คลาสสิกยังขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจผันผวนได้ตามแนวโน้มต่างๆ และสภาพเศรษฐกิจ
ตลาดการลงทุนในรถคลาสสิกก็ไม่ต่างจากตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์คือ มีช่วงเวลาที่ราคาพุ่งขึ้นสูง ช่วงสั้นๆ ที่ราคาตก และรถแต่ละประเภทก็มีราคาเคลื่อนไหวไม่เสมอกันทั้งหมด อย่างเช่น รถสะสมระดับกลางราคาตกลงนับตั้งแต่เกิดโควิด ขณะที่ตลาดรถคลาสสิกยอดนิยมราคาอาจจะไม่ตกลงเลย อย่างเช่น Lamborghini Miura ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1966-1973 ซึ่งเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์หลังรุ่นแรกๆ ราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 195 เท่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ก็มีผลต่อนิยามและความนิยมรถคลาสสิกแต่ละรุ่น
นักสะสมรถส่วนใหญ่คือชายวัยกลางคน รถยนต์ที่เคยโด่งดังในช่วงที่พวกเขาเป็นวัยรุ่นจะกลายเป็นรถในฝันเมื่อมีกำลังทรัพย์มากพอ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความนิยมก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างรถรุ่นเก่าๆ เช่น Austin Healey 3000 Mk 3 หรือ Aston Martin รุ่นคลาสสิกอื่นๆ ความต้องการก็ลดลงตามอายุของผู้ซื้อ กลายเป็นว่ารถยนต์ยอดนิยมในช่วงปี 1970-1990 กลับเป็นที่ต้องการของนักสะสม อาทิ Ford Sierra Cosworth
สรุปแล้วการลงทุนในรถยนต์คลาสสิกจะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจตลาด มีความรักในรถยนต์จริงๆ เพราะต้องยอมรับในข้อเสียและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้กำไรเป็นตัวเงิน แต่ได้ความสุขใจกลับมาแน่นอน
ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
อ้างอิง:
- https://www.theglobeandmail.com/investing/article-the-ins-and-outs-of-investing-in-classic-and-high-end-cars/
- https://autos.yahoo.com/1954-mercedes-race-car-now-170000711.html?guccounter=1&guce_referrer=aHR0cHM6Ly93d3cuZ29vZ2xlLmNvbS8&guce_referrer_sig=AQAAALiab-xLMb9rs5R9hYjImBI-Op2JmDaLRbIqFBQKS_h1klmSWQlcSuu1u8nf1qHdisE0X2krpIcY9YuaRPjjAucdW_Kts5UkEqlPlcHqRTeCXHhw3oSU-ePVNRdWjkbJ9fDGAzUuvjcXAIuK-gZtRnE9FtRzN4KHON5XM14c0_eg
- https://www.ft.com/content/dc8c6cae-baf8-4895-97d3-5d70d25cf058