ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกลับส่งสัญญาณบวกอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในปี 2567 ซึ่งถือเป็นปีทองของการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในหลายภาคส่วน สะท้อนจากตัวเลขการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนของ JLL ที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 38,000 ล้านบาท ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นของตลาดในภูมิภาค
‘ดีลยักษ์’ ที่เกิดขึ้นในปี 2567 สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการอสังหาไทย ไม่ว่าจะเป็นการเช่าระยะยาวที่ดินแปลงใหญ่ย่านราชดำริ การซื้อที่ดินของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก รวมถึงดีลการซื้อขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ สุขุมวิท ที่ทำลายสถิติมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์เดี่ยวสูงสุดในประวัติศาสตร์ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อศักยภาพของตลาดไทย
ตลาดโรงแรมโดดเด่นเป็นพิเศษ ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 22,000 ล้านบาท จาก 15 ดีล สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ถึง 10,000 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯ ครองแชมป์การลงทุนด้วยสัดส่วนเกือบ 50% ตามมาด้วยภูเก็ตและเชียงใหม่ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจากจีนและตะวันออกกลางที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง
นอกจากนี้การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการขยายตัวของฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ที่ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่มุ่งยกระดับประเทศไทยสู่ฐานการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง
สำหรับปี 2568 JLL ชี้ 4 เทรนด์หลักที่จะขับเคลื่อนตลาด ได้แก่ กลุ่มโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงแรม และที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี โดยเฉพาะ ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ ที่มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด ตามความต้องการด้านดิจิทัลที่พุ่งสูงขึ้น ประกอบกับการที่ไทยกำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางข้อมูลของภูมิภาค ด้วยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพทางการเมือง
ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมระดับอัลตราลักชัวรีในย่าน CBD ยังคงแข็งแกร่ง ดึงดูดกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจากจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ที่มองหาโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง ส่งผลให้ราคาต่อตารางเมตรในโครงการระดับไฮเอนด์ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กฤช ปิ่มหทัยวุฒิ หัวหน้าแผนกตลาดทุนประจำประเทศไทย JLL ระบุว่า “สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบันส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจไทยมากขึ้น โดยมี BOI เป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดการลงทุนผ่านมาตรการจูงใจต่างๆ” สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศที่มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและการลงทุนในภูมิภาค
ด้านตลาดโรงแรมในปี 2568 JLL คาดว่ามูลค่าการทำธุรกรรมจะสูงกว่า 13,000 ล้านบาท มากกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2553 ถึง 12% เนื่องจากผลประกอบการโรงแรมที่ดีขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่มีเสถียรภาพ รวมถึงการขยายตัวของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มบน
ความน่าสนใจของไทยยังถูกหนุนด้วยกระแส ‘เมืองอัจฉริยะ’ และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืน ซึ่งมีการชี้ว่าไทยกำลังเป็นผู้นำในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มโลจิสติกส์ อุตสาหกรรม ดาต้าเซ็นเตอร์ และโรงแรม ซึ่งสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกที่กำลังปรับตัวครั้งใหญ่