×

เปิดใจเจ้าของท่าข้ามรายใหญ่ในแม่สอด หลังถูกสังคมมองท่าธรรมชาติไทยเป็นเส้นทางหล่อเลี้ยงเมืองคอลเซ็นเตอร์ ‘ชเวโก๊กโก่’ เมียนมา

โดย THE STANDARD TEAM
18.02.2025
  • LOADING...
maesot-crossing-owner

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) อุดม สุขสด กรรมการผู้จัดการบริษัท ห้าแยก กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบการท่าข้ามที่ 34 (ท่าศาลเจ้า) ซึ่งเป็น 1 ใน 59 ท่าข้ามธรรมชาติของอำเภอแม่สอด และยังเป็นท่าที่มีขนาดใหญ่ลำดับต้นๆ กล่าวเปิดใจหลังมีกระแสสังคมมองว่าท่าข้ามธรรมชาติเป็นเส้นทางหล่อเลี้ยงเมืองคอลเซ็นเตอร์ เนื่องจากลำเลียงสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าเมืองชเวโก๊กโก่

 

อุดมยอมรับว่า สินค้าที่บริษัทรับหน้าที่ส่งข้ามแดนจากฝั่งประเทศไทยไปฝั่งประเทศเมียนมาประมาณ 95% ล้วนเป็นสินค้าที่มาจากเรือขนส่งจากประเทศจีนโดยตรง ลำเลียงผ่านท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุดบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์เดินทางมาที่อำเภอแม่สอด เพื่อข้ามไปยังจังหวัดเมียวดี

 

ส่วนสินค้าของบริษัทตนเองที่ขายให้ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นชาวบ้านพื้นที่จริงๆ มีเพียงปูนซีเมนต์กับเหล็กเส้น คิดเป็นมูลค่า 1% ของการค้าขาย เพราะกลุ่มทุนจีนไม่ได้สั่งซื้อสินค้าจากไทยเลย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอาคาร เฟอร์นิเจอร์ กระเบื้อง หรือแม้แต่น้ำดื่ม อาจมีบ้างที่มีบริษัทนักลงทุนจีนสั่งซื้อสินค้าจากไทย แต่เมื่อคำนวณปริมาณแล้วน้อยมาก เทียบเท่ากับการซื้อไปสร้างอาคารเพียง 5-10 หลังเท่านั้น ส่วนตัวไม่ทราบว่าอาคารเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ เพราะหน้าที่ของตนเองคือทำธุรกิจ เสียภาษีให้ประเทศชาติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

 

อุดมกล่าวต่อว่า หากมีแนวคิดที่จะปิดท่าข้ามธรรมชาติ อยากให้รัฐบาลลงพื้นที่มาตรวจตราตามท่าต่างๆ อย่างถี่ถ้วนก่อน เพราะทุกวันนี้สินค้าที่มาจากประเทศจีนถูกบรรทุกมาในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งตามกฎหมายศุลกากร หากไม่เป็นสินค้าที่เจ้าหน้าที่สงสัย ทางการไทยหรือใครก็ตามไม่สามารถเปิดตรวจสินค้าได้เลย จนถึงขณะนี้ไม่สามารถทราบได้เลยว่ามีสินค้าอะไรบ้าง ผ่านแดนไปเท่าไร รัฐบาลควรต้องมีมาตรการมาดูแลเพื่อให้ผู้ประกอบการภายในประเทศอยู่ได้ ตนอยากเรียกร้อง

 

พร้อมยืนยันว่า สินค้าวัสดุก่อสร้างที่ตนเองขายส่งไปเมืองชเวโก๊กโก่ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นชาวกะเหรี่ยงที่มีรายได้จากการให้กลุ่มทุนจีนเช่าที่ดิน ส่วนใหญ่ที่มาติดต่อซื้อวัสดุก่อสร้างจะเป็นนายหน้าคนเมียนมามาซื้อขายและนัดหมายจุดส่งของ 

 

“ธุรกิจสีเทาในเมืองชเวโก๊กโก่ หากเข้าไปดูจริงๆ จะพบว่าในเมืองมีเพียง 1-2% ที่เป็นพวกธุรกิจสีเทาแฝงตามอาคารตึกต่างๆ ไม่ใช่ทั้งหมดของเมือง หากรัฐบาลไทยจะแก้ปัญหา ควรเซ็ตสัญญาณการส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าแต่ละจุด จุดไหนมีการใช้ปริมาณมากให้ตัดเป็นจุดๆ แต่ไม่ใช่ตัดทั้งหมดแบบที่เกิดขึ้น และอยากให้รัฐบาลไทยผูกสัมพันธ์ ขอความร่วมมือกับฝั่งเมียนมา ไม่ควรบีบเค้นมากไป ให้เขาได้ทำธุรกิจอื่นคู่ขนานแม่น้ำเมยไป เพราะไม่เช่นนั้นจะเปรียบเหมือนโคลนในมือ บีบมากก็เล็ดลอดออกจากมือ” อุดมกล่าว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising