ห่างกันเพียงแค่สวนสแตนลีย์กั้น
นั่นคือคำบรรยายที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายที่สุดถึงความใกล้ชิดระหว่างเอฟเวอร์ตันและลิเวอร์พูล สองสโมสรฟุตบอลใหญ่ของอดีตเมืองท่าสำคัญของอังกฤษที่มีแม่น้ำเมอร์ซีย์ไหลผ่าน ซึ่งทำให้การพบกันระหว่างสองทีมนี้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้’
ความจริงจะเรียกว่าใกล้ชิดก็ไม่ถึงกับถูกต้องทั้งหมด เพราะความจริงยิ่งกว่าคือเอฟเวอร์ตันและลิเวอร์พูล เป็นสองสโมสรที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน แต่แตกตัวกันเพราะความขัดแย้งในหลายเรื่อง
เอฟเวอร์ตันความจริงแล้วเป็นสโมสร ‘พี่’ ที่เกิดก่อนในปี 1879 และผ่านการใช้สนามหลายแห่ง ก่อนจะย้ายมาใช้แอนฟิลด์เป็นสนามเหย้าในปี 1882
ใช่ แอนฟิลด์เคยเป็น ‘บ้าน’ ของเอฟเวอร์ตันมาก่อนนานถึง 8 ปีเต็ม
แต่ความขัดแย้งหลายอย่างที่มากกว่าแค่คนจดจำว่าเป็นเรื่องค่าเช่าสนามนำไปสู่การแยกทาง ทีมฟุตบอลเอฟเวอร์ตันย้ายออกจากแอนฟิลด์ไปใช้สนามเมียร์กรีนฟิลด์เป็นรังเหย้าแทนในปี 1892 และในปีนั้นเองที่ จอห์น โฮลดิง หนึ่งในผู้ก่อตั้งสโมสรเอฟเวอร์ตัน ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลใหม่ ‘ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ’ ที่ใช้สนามแอนฟิลด์ที่ว่างเปล่าเป็นรังเหย้าแทน
เมียร์กรีนฟิลด์ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกูดิสันพาร์ก เพราะตั้งอยู่ใกล้กับถนนกูดิสัน (Goodison Road, ขณะที่สนามแอนฟิลด์ก็ตั้งชื่อตามถนนแอนฟิลด์ Anfield Road)
นี่คือประวัติแบบย่นย่อของการกำเนิดกูดิสันพาร์ก บ้านของทีมเอฟเวอร์ตันที่อยู่ยั้งยืนยงผ่านกาลเวลามากว่า 133 ปี
ตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าว มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่สนามแห่งนี้
รู้ไหมว่านี่คือสนามฟุตบอลแห่งแรกของอังกฤษที่ใช้เพื่อรองรับการแข่งขันเกมฟุตบอลเพียงอย่างเดียว เพราะในยุคแรกของเกมลูกหนังนั้น สนามที่ใช้คือสนามกีฬาทั่วไปที่รองรับการแข่งขันกีฬาหลากหลายประเภท ก่อนที่จะมีการก่อสร้างสนามฟุตบอลแท้ๆ ทั่วประเทศตามมา
กูดิสันพาร์กจึงเป็นสนามฟุตบอลที่ล้ำและนำสมัยเสมอ พวกเขาเป็นสนามฟุตบอลที่เคยมีอัฒจันทร์ 2 ชั้นล้อมรอบ 4 ด้าน เพื่อรองรับจำนวนผู้ชมมากมายมหาศาล
สนามที่มีม้านั่งสำรอง (Dugout) แห่งแรก และในเวลาต่อมายังเป็นสนามแรกที่มีระบบทำความร้อน (Heater) ติดตั้งไว้ใต้พื้นสนาม
และครั้งหนึ่งเคยเป็นสนามที่มีศักดิ์และสิทธิ์เป็นรองเพียงแค่สนามเวมบลีย์ เมกะลูกหนังที่เป็นสนามกีฬาแห่งชาติของชาวอังกฤษ
สนามแห่งนี้เคยถูกใช้แทนเวมบลีย์ในช่วงที่มีการทุบทิ้งและสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 โดยได้เป็นบ้านของทีม ‘สิงโตคำราม’ อังกฤษมากถึง 10 นัด และในฟุตบอลโลก 1966 ที่กูดิสันพาร์กก็รองรับเกมการแข่งขันมากถึง 5 นัด เป็นรองก็เพียงแค่เวมบลีย์เท่านั้น
แต่สำหรับชาวเอฟเวอร์โตเนียนแล้ว ไม่มีเกมใดที่กูดิสันพาร์กจะสำคัญมากไปกว่าเกมดาร์บี้แมตช์กับลิเวอร์พูล
ดาร์บี้ที่ไม่เหมือนใคร ในความผูกพันทั้งรักทั้งชัง ทั้งหวานและขมขื่น
ปู่เป็นเอฟเวอร์โตเนียน ยายเป็นลิเวอร์พัดเลียน ไปตัดสินกันในรุ่นหลานว่าอยากจะเลือกสีไหนระหว่างน้ำเงินหรือแดง อาการขิงข่าตะไคร้ใบมะกรูดของสองฝั่งคือเรื่องปกติ แต่ทั้งหมดก็นั่งดูนั่งเชียร์ด้วยกันได้ และสุดท้ายก็ต้องกลับบ้านมานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ดี
เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้หนแรกที่กูดิสันพาร์กเกิดขึ้นในปี 1894 หรือ 2 ปีให้หลังของการแยกตัว
เกมนั้นจบลงด้วยชัยชนะของเจ้าบ้านเอฟเวอร์ตันด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 3-0
ก่อนที่จะได้เปิดศึกสายเลือดกันที่สนามแห่งนี้อีกหลายต่อหลายครั้ง และมีเกมแห่งความทรงจำระหว่างกันมากมาย
ในปี 1948 เกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ที่กูดิสันมีจำนวนผู้ชมเข้ามามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 78,299 คน
ในยุค 1980 เอฟเวอร์ตันเป็นคู่แข่งสำคัญในการไล่ล่าความเป็นหนึ่งของเกาะอังกฤษกับลิเวอร์พูล และเกมที่กูดิสันสำคัญเสมอ เพียงแต่ก็มีเกมอัปยศด้วยเมื่อพวกเขาพ่ายต่อลิเวอร์พูลขาดลอยถึง 5-0 ในปี 1982 ซึ่งเป็นเกมที่ทำให้ลิเวอร์พูลแซงขึ้นนำจ่าฝูง
สกอร์ 5-0 ที่กูดิสันวันนั้นคือความพ่ายแพ้ต่อคู่ปรับร่วมเมืองที่เลวร้ายที่สุด ขณะที่สกอร์ที่พวกเขาเคยถล่มลิเวอร์พูลมากที่สุดก็คือ 5-0 แต่ก็เกิดขึ้นนานโขตั้งแต่ฤดูกาล 1908/09
ในปี 1991 เกมเอฟเอคัพ นัดรีเพลย์ เอฟเวอร์ตันไล่ตามตีเสมอลิเวอร์พูล 4-4 ก่อนที่ เคนนี ดัลกลิช จะตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม อันเป็นจุดเริ่มต้นของยุคมืดของคู่ปรับในเวลาต่อมา
กูดิสันพาร์กเคยเป็นปราการที่ลิเวอร์พูลตีไม่แตกในยุคต้นพรีเมียร์ลีกที่มี ดันแคน เฟอร์กูสัน หรือ ‘บิ๊กดังก์’ หัวหอกจ้าวเวหาชาวสกอตแลนด์อยู่ในทีม ที่ถึงขั้นมีการพูดกันว่าถ้าลิเวอร์พูลคิดอยากจะบุกมาชนะที่นี่พวกเขาต้องหาทางหยุดบิ๊กดังก์ให้ได้ก่อน
โดยจุดเริ่มต้นของช่วงเวลานั้นคือวันที่เอฟเวอร์ตันเอาชนะลิเวอร์พูลได้ที่กูดิสัน 2-0 ในเดือนพฤศจิกายน 1994 จากประตูของเฟอร์กูสัน และ พอล ไรด์เอาต์ ซึ่งเป็นชัยชนะที่มีความหมายมากเพราะสถานการณ์ในเวลานั้นพวกเขาวิกฤติหนัก ชนะแค่เกมเดียวจาก 14 นัดแรกของฤดูกาล
ชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลในวันนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่นอกจากจะทำให้พวกเขามีกำลังใจต่อสู้รอดพ้นจากการตกชั้นได้ ยังนำไปสู่การคว้าแชมป์เอฟเอคัพด้วยการล้มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ซึ่งกลายเป็นโทรฟีใหญ่ใบสุดท้ายที่ทีมคว้ามาได้และยังไม่มีความสำเร็จใดๆ อีกเลยตลอดระยะเวลา 30 ปี
กว่าลิเวอร์พูลจะชนะที่กูดิสันได้ต้องรอจนถึงปี 2001 เมื่อพวกเขามาได้ประตูชัยสุดมหัศจรรย์ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ แกรี แมคคัลลิสเตอร์ ซึ่งกลายเป็นประตูสำคัญของลิเวอร์พูลที่ทำอันดับไปแชมเปียนส์ลีกได้เป็นหนแรก
ก่อนที่กูดิสันพาร์กจะกลายเป็นสนามเด็กเล่นของลิเวอร์พูล เพราะไม่แพ้เอฟเวอร์ตันที่นี่เลยตั้งแต่ปี 2010
จนกระทั่งเอฟเวอร์ตันทำได้สำเร็จในเกมดาร์บี้นัดที่ 119 เมื่อเดือนเมษายน 2024 ยัดเยียดความปราชัยและดับความหวังทั้งหมดของลิเวอร์พูลและ เจอร์เกน คล็อปป์ ในพรีเมียร์ลีก
ก่อนจะถึงความทรงจำครั้งสุดท้าย
ค่ำคืนนี้ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้จะลงแข่งในสนามซึ่งได้รับสมญาว่าเป็น ‘The Grand Old Lady’ หรือท่านผู้หญิงของวงการฟุตบอล ก่อนที่เอฟเวอร์ตันจะย้ายไปสนามใหม่ในย่านแบรมลีย์-มัวร์ด็อก ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว พร้อมใช้งานตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป
สิ่งที่ดีคือเกมซึ่งเลื่อนมาจากเดือนธันวาคมเพราะพายุดาราห์ถล่ม – จะเป็นเกมที่เปี่ยมด้วยความหมาย
ลิเวอร์พูลต้องการชัยชนะเพื่อเดินหน้าไปสู่การเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 20
ส่วนเอฟเวอร์ตัน จริงอยู่ที่เรื่องการหนีตกชั้นก็สำคัญ แต่ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าการเตะตัดขาลิเวอร์พูลไม่ให้สมหวัง
แต่ไม่ว่าจะจบอย่างไร ความทรงจำสุดท้ายของท่านผู้หญิงสีน้ำเงินจะถูกเก็บไว้อย่างดีแน่นอน
อ้างอิง
- https://theanalyst.com/2025/02/everton-vs-liverpool-merseyside-derby-goodison-park
- https://www.theguardian.com/football/2025/feb/10/everton-goodison-park-history-memory-grief-belonging-my-bittersweet-farewell
- https://www.nytimes.com/athletic/5966452/2025/02/11/merseyside-derby-final-goodison-park-liverpool-everton/
- https://www.straitstimes.com/sport/football/merseyside-poised-for-final-derby-at-goodison-park