วันนี้ (6 กุมภาพันธ์) เฮง-วีระเดช ภู่พิสิฐ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ลำพูน พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ในรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ดำเนินรายการโดย ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ เผยแพร่ทางช่อง 9 MCOT HD หมายเลข 30 กรณี ประเสริฐ ภู่พิสิฐ หรือ ‘โกเก๊า’ บิดาของวีระเดช ถูกเผยแพร่ข่าวว่า ถูกดำเนินคดีโครงการลำไยอบแห้งตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ปี 2547
วีระเดชกล่าวว่า “ไม่หนักใจ เพราะตั้งแต่ตัดสินใจลงสมัครเล่นการเมืองก็ยังกลัวว่าเรื่องราวของครอบครัวจะทำให้พรรคเสียหายด้วยซ้ำ ส่วนตัวร่วมงานกับพรรคตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งไม่ได้ปิดบังอะไร เราบอกว่า เราขอช่วยงานพรรค ช่วงแรกๆ ทำงานเบื้องหลัง เราขอเป็นทีมงานที่ขับเคลื่อนภายในจังหวัด เพราะอยากให้การเมืองในจังหวัดมีการเปลี่ยนแปลง ก็เดินมากับพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ประชาชน ผมก็พิสูจน์ตัวเองกับทุกคนในพรรค
“ตอนตัดสินใจลงสมัครนายก อบจ. ก็เคยบอกว่า ไม่ได้ชอบการเมืองแบบเก่า คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็คงรู้เรื่องคดีคุณพ่อ แต่เขาคงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น เขาใส่ใจเรื่องผมทำงานกับพรรคแล้วเป็นอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร มากกว่าเรื่องครอบครัว
“ขอเปิดใจในรายการนี้ว่า ผมเองเลือกเกิดไม่ได้ ผมเกิดมาผมก็มีพ่อแม่ชื่อนี้ เราเปลี่ยนพ่อเปลี่ยนแม่ไม่ได้ พ่อแม่จะทำอะไรผมก็ไม่ได้รับรู้ อีกทั้งเหตุการณ์เกิดปี 2547 ตอนนั้นผมเป็นนักเรียน ม.5 อยู่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย แล้วตอนข่าวพิจารณาคดีลำไยเป็นข่าวดังขึ้นมาปีนั้น ผมต้องแบกรับความรู้สึกจากสังคมมาตั้งแต่เด็ก
“พอเราชนะเลือกตั้งนายก อบจ. ก็มีการขุดมาเล่นงานทางการเมือง เพราะเป็นครอบครัวนักการเมือง ไม่มีใครคิดมุมกลับบ้างหรือครับว่า การที่ผมตัดสินใจมาลงการเมืองครั้งนี้ ผมตั้งใจเพียงแค่ว่า เราอยากจะรักษาแผลใจที่เกิดขึ้นกับเรา”
วีระเดชกล่าวถึงบทเรียนจากกรณีที่เกิดขึ้นกับประเสริฐว่า การที่เราตัดสินใจมาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น อย่างหนึ่งที่เรารู้สึก การที่เราเป็นนักการเมืองท้องถิ่นแล้วไปดูแลนักการเมืองระดับชาติ ไปเป็นแขนเป็นขา ผลกรรมก็ออกมาเป็นแบบนี้
วีระเดชลำดับเหตุการณ์ตอนประเสริฐเป็นนายก อบจ.ลำพูน ว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร กระทั่งหมดวาระในเดือนมกราคม 2547 ตอนเป็นนายก อบจ. บิดาได้รางวัลนายกธรรมาภิบาล แต่พอเลือกตั้งนายก อบจ. ตรงปีแรก ไม่ได้รับเลือก เมื่อไม่ได้เป็นนายก อบจ. ก็หาช่องทางลงการเมืองต่อ จึงไปทำงานกับเครือข่ายทางการเมืองระดับชาติช่วงนั้น แล้วเกิดคดีลำไยในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่งทุกวันนี้รัฐบาลและรัฐมนตรีชุดนั้นก็ไม่มีใครถูกเอาผิด แต่กลับมาเอาผิดบิดาของตนเองคนเดียว
“เป็นแผล เป็นปมในใจผมอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราเป็นนักการเมือง เราก็อยากจะทำให้เห็นว่า เราต้องเป็นตัวของตัวเอง เราต้องตั้งใจบริหารให้ดี นี่แหละครับ อยากให้มองมุมกลับบ้าง ผมเข้าใจว่าการขุดคดีคุณพ่อเป็นวิถีการเมืองที่เขาก็เล่นกันแบบนี้ ก็ต้องโดน แต่ไม่ได้ลำบากใจ เพราะคิดว่าจะตั้งใจทำงานให้คนลำพูนต่อไป”
ผู้ดำเนินรายการถามย้ำที่บอกว่า อยากล้างแผลในใจตัวเองตั้งแต่สมัยเด็ก มองความผิดพลาดของบิดาคืออยากก้าวสู่การเมืองระดับชาติ จึงเดินตามนักการเมืองระดับชาติ เป็นเหตุให้ไปยุ่งกับโครงการลำไยจนกลายเป็นวิบากกรรมใช่หรือไม่
วีระเดชกล่าวว่า เท่าที่รับทราบ เมื่อคดีเริ่มมีการสั่งฟ้องถึงมารู้รายละเอียดคดี และตั้งข้อสังเกตว่า บิดาเคยเป็นนายก อบจ. ก็จริง มีเครือข่ายในจังหวัด แล้วโครงการใหญ่ขนาดนี้มาลงพื้นที่จังหวัด ถ้าหัวไม่ขยับ หางก็ไม่กระดิก ตนเองก็อยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้คนลำพูน
“อยากฝากประชาชนทั่วประเทศ ตัวผมเองกับคุณพ่อเราแยกความสัมพันธ์กันไม่ได้ แต่ความเป็นตัวตนแต่ละคนแยกกันได้ชัด ขอให้ผมได้พิสูจน์ความเป็นตัวตนผมด้วยการพัฒนาจังหวัดนี้ให้ทั่วประเทศเห็นความเปลี่ยนแปลงดีกว่า
“จริงๆ ผมกับพ่อเป็นคนละคนกัน แล้วตอนผมลงเลือกตั้ง ท่านก็ยังอยู่ในเรือนจำ ท่านแทบไม่ได้มายุ่งด้วยซ้ำ แล้วผมก็ไม่มีเวลาไปเยี่ยม หรือเวลาไปเยี่ยมคุณพ่อก็อยู่ในเรือนจำ ไม่ได้อยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ (หัวเราะ)
“ชีวิตผมก็เหมือนหนังชีวิตเรื่องหนึ่ง ขนาดคุณพ่อป่วยกระเพาะทะลุ ไปผ่าตัดเย็บแผลเสร็จ อีกวันต้องกลับเข้าเรือนจำเลย เราก็เป็นประชาชนธรรมดานี่แหละครับ เพียงแต่ท่านเคยดำรงตำแหน่งนายก อบจ. แน่นอนนักการเมืองมี 2 ด้านคือเคยให้คุณและเคยให้โทษ เวลาผมลงพื้นที่ เจอคนเห็นนามสกุล เขาก็ถามเป็นลูกโกเก๊าเหรอ ผมนี่ตกใจว่าจะเจอด้านดีหรือไม่ดี ผมก็บอกว่าผมเป็นลูก แต่อย่างไรขอให้ดูนโยบายที่ผมจะทำ ผมขอฝากด้วย”
ส่วนเรื่องชนะเลือกตั้งเพราะเป็นลูกบ้านใหญ่หรือไม่ วีระเดชกล่าวว่า บิดาเป็นนายก อบจ. ครั้งสุดท้ายปี 2547 มาถึงวันนี้ผ่านมา 21 ปี เครือข่ายก็ร้างราสนามกันไปเยอะ ตั้งแต่ปี 2547 ท่านก็ไม่ได้กลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกเลย ส่วนที่ถูกวิเคราะห์ว่าชนะเพราะเป็นลูกบ้านใหญ่ ตนน้อยใจ อยากจะชี้แจงว่า ข่าวคดีลำไยดังขนาดนี้ เป็นแรงเสียดทานด้วยซ้ำ
“ผมเชื่อว่าที่ผมชนะเพราะทีม สจ. ของเราเป็นคนรุ่นใหม่หมด แล้วเราได้ สจ. มา 16 คน แล้วด้วยความที่เราทำนโยบายกันมา 2 ปี นโยบายที่เราเขียนมาจากที่ว่าลำพูนขาดอะไร ลำพูนต้องการอะไร เราถึงทำนโยบายแล้วสื่อสารกับประชาชนแต่ละตำบล แต่ละหมู่บ้านที่เราไปลงพื้นที่ ทราบว่าหมู่บ้านไหนต้องการอะไร เป็นความต้องการที่ประชาชนสะท้อนมาจริงๆ
“อีกอย่างกระแสการเปลี่ยนการเมืองในจังหวัดก็มีค่อนข้างสูง เขาอยากเปลี่ยนคนใหม่ ถ่ายเลือดให้นักการเมืองรุ่นใหม่ๆ มีกระแสค่อนข้างสูง ตอนแรกๆ เป็นม้านอกสายตา เราก็ยอมรับ แต่ด้วยกระแสพรรคและความเชื่อมั่น แม้แต่ตัวผมมีข้อตำหนิที่ถูกนำมาเล่นตอนนี้ แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่า การที่อยู่พรรคนี้ พร้อมถูกตรวจสอบ พร้อมทำงานโปร่งใส มีประสิทธิภาพ พร้อมทำงานร่วมกับประชาชน อันนี้ต่างหากที่ทำให้ชนะ”