วันนี้ (31 มกราคม) มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงการช่วยเหลือตัวประกันคนไทยที่เหลืออีก 1 คนในฉนวนกาซาว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามดำเนินการอย่างเต็มที่ เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่จะนำคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยากกลับมาสู่ประเทศไทย ซึ่งในแต่ละคนกรณีมีความแตกต่างกัน มีขั้นตอนที่ต้องทำ ตนทำเรื่องนี้มากกว่า 1 เดือนแล้ว
เมื่อวานนี้รัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอลโทรศัพท์มาแสดงความยินดีกับตน และพูดว่าเราเริ่มคุยกันเกือบ 1 เดือนแล้ว ดีใจกับผลที่เกิดขึ้น และเรายังคงดำเนินการต่อไป ขณะที่ตนได้พูดกับรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลถึงคนไทยที่เหลืออีก 1 คน รวมถึงร่างของ 2 คนไทยที่เสียชีวิตว่า อยากนำกลับประเทศไทย แต่ข้อมูลทั้งหมดที่เรามีและที่ได้คุยกับทุกมิตรประเทศก็ยังไม่สามารถยืนยันสถานะคนไทยที่เหลืออีก 1 คนได้ แต่ทุกคนก็ยืนยันในความตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนไทยอีก 1 คนให้ได้ และย้ำว่าเป็นนโยบายที่ชัดเจนที่ต้องนำคนไทยกลับมาให้ได้ ขอให้มั่นใจและจะไม่หยุดยั้ง และในช่วงเย็นวันนี้ตนก็จะเดินทางไปรับคนไทยทั้ง 5 คนที่อิสราเอล ซึ่งจะได้พูดคุยในเรื่องนี้ด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถือว่ามีสัญญาณที่ดีได้หรือไม่กับคนไทยที่เหลืออีก 1 คน มาริษย้ำว่า คนในพื้นที่ก็บอกมาตรงๆ ว่ายังไม่สามารถจะหาสถานะของอีก 1 คนได้ เมื่อวานรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลก็พูดชื่อออกมาชัดเจน นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญ และไม่ได้เพิกเฉยต่อคำร้องขอของเรา อย่างที่ตนบอก บางครั้งก็ต้องทำเงียบๆ ได้ผลดีกว่า และเราก็ทำแบบนั้นกับเขามาตลอดจนเราได้ความมั่นใจ และเมื่อวานนี้หลายประเทศก็โทรศัพท์มาแสดงความยินดีและชื่นชมในความร่วมมือที่เรามีกับทุกมิตรประเทศ จึงขอถือโอกาสนี้ขอบคุณมิตรประเทศทุกประเทศที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ ทั้งกาตาร์ อียิปต์ อิหร่าน ตุรกี สหรัฐฯ และอิสราเอล ที่ดูแลช่วยเหลือตัวประกันทั้ง 5 คนในขณะนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีแรงงานไทยจำนวนมากกลับไปทำงานที่อิสราเอล มีการวางแผน ดูแล และป้องกันอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ มาริษกล่าวว่า พยายามขอให้คนไทยอย่าเพิ่งเดินทางเข้าไป ถ้าจะเดินทางเข้าไปทำงานกรุณาอย่าเข้าไปในเขตพื้นที่เสี่ยงภัย แต่ตนก็คงไปห้ามไม่ได้ จึงต้องพยายามเตือน
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มีปัญหา กระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่ดูแลคนไทยอยู่แล้ว เรื่องนี้อยู่ในจิตใจของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศทุกคนอยู่แล้ว ที่ต้องการให้การดูแลคนไทยให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตนเข้าใจดีในเรื่องของเศรษฐกิจ แต่ถ้าจะเข้าไปแล้วก็ต้องปฏิบัติตาม SOP ที่สถานทูตคุยไว้กับฝ่ายทหาร เรื่องการเข้าไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงภัย
