ตลาดรถยนต์ของประเทศไทยปีนี้ถือว่าหนักหน่วงเกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้มาก ช่วงต้นปีค่ายรถต่างๆ คาดหมายว่ายอดขายรวมจะอยู่ระดับ 800,000 คัน
แต่เมื่อผ่านมาถึงเดือนสุดท้าย ทั้งค่ายรถและนักวิเคราะห์ต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ยอดขายจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 600,000 คัน เนื่องจากยอดขาย 10 เดือนแรกอยู่ที่ 476,350 คัน ลดลง 26.2%
ขณะที่ตลาดรวมลดลงอย่างหนัก แต่ ‘โตโยต้า’ กลับมีสัดส่วนยอดขายที่ลดลงต่ำกว่าตลาด โดยลดลงเพียง 17.2% และครองส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 38.3%
ขณะที่นายใหญ่ของโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ‘โนริอากิ ยามาชิตะ’ ได้ตอบคำถามของสื่อมวลชนในงานมหกรรมยานยนต์หรือ Motor Expo 2024 ที่ผ่านมา ถึงทิศทางแผนการดำเนินงาน และข้อเรียกร้องที่อยากให้ทางฝั่งของรัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมก่อนที่จะวิกฤตหนักกว่านี้
“แม้ตลาดรวมจะตกหนัก แต่โตโยต้าได้รับผลกระทบเพียงครึ่งเดียว หรือการผลิตลดไปราว 10% เท่านั้น” โนริอากิ ยามาชิตะ กล่าว
บทสรุปสำคัญจากคำให้สัมภาษณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักใหญ่ที่ทำให้โตโยต้าได้รับผลกระทบน้อยกว่าค่ายอื่นๆ คือการที่โตโยต้ามีการผลิตเพื่อส่งออก โดยโรงงานในไทยเป็นฐานการผลิตรถที่สำคัญในภูมิภาค ขณะที่ยอดขายในประเทศหดตัวลง แต่การผลิตเพื่อส่งออกยังอยู่ในระดับปกติ ฉะนั้นในแง่ของการบริหารจัดการจึงได้รับผลกระทบไม่มาก
เหนืออื่นใดคือการที่โตโยต้าปรับไลน์การขายที่มุ่งเน้นมาเป็นไฮบริดมากขึ้น รวมถึงการที่โตโยต้าสร้างการรับรู้และทำตลาดรถไฮบริดมาอย่างยาวนานนับสิบปี ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยตรง ทำให้ยอดสัดส่วนการจำหน่ายของไฮบริดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและมียอดขายที่สูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าแล้วในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางด้านการสนับสนุนจากภาครัฐอยู่ค่อนข้างมาก ดังนั้นทางโตโยต้าได้หารือกับหอการค้าญี่ปุ่น (JCC) และสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) ยื่นข้อเสนอ 3 ข้อ ได้แก่
- ออกมาตรการระยะยาวสนับสนุนการผลิตรถยนต์ปิกอัพ, PPV และอีโคคาร์
- ออกมาตรการระยะสั้น กระตุ้นการซื้อรถในช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจซบเซา
- ออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่เพียงเฉพาะ BEV แต่ให้ครอบคลุมถึงรถไฮบริด HEV รถปลั๊กอินไฮบริด PHEV และรถฟิวเซลล์ FCEV ด้วย
ทั้งนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์เวลานี้ คือเรื่องที่ลูกค้ายื่นกู้ขอสินเชื่อไปแล้วถูกปฏิเสธทำให้ยอดจำหน่ายลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งมีสาเหตุมาจากสัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนที่สูงถึง 90% ซึ่งต้องการให้รัฐบาลผ่อนผันเงื่อนไขการปล่อยกู้ และมีมาตรการช่วยให้ประชาชนสามารถซื้อรถได้ง่ายขึ้น
ซึ่งประเด็นนี้โตโยต้าได้เปรียบคู่แข่งแบรนด์อื่นอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมี ‘โตโยต้า ลีสซิ่ง’ ซึ่งเป็นกิจการด้านการเงินในเครือของโตโยต้าที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการขายรถยนต์โตโยต้าโดยตรง
แตกต่างจากแบรนด์อื่นที่ต้องใช้สถาบันการเงินจากภายนอก แต่ก็ต้องปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้นจึงต้องมีการร้องขอให้ออกมาตรการช่วยเหลือ
อนึ่ง ผู้บริหารของผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจในเรื่องของการลดราคารถยนต์ของแบรนด์จากประเทศจีนเอาไว้ว่า ถ้าคุณสามารถลดราคา 200,000-300,000 บาทได้โดยที่ยังมีกำไรอยู่ นั่นต้องยอมรับว่าผู้ผลิตจีนมีศักยภาพในการทำกำไรได้ดีจนน่าตกใจ การลดราคาจะส่งผลกระทบต่อราคารถมือสองอย่างแน่นอน ซึ่งโตโยต้าจะไม่ประกาศลดราคาโดยไม่สมเหตุผลแบบนั้น
“เนื่องจากการศึกษาพบว่าการทำแคมเปญส่วนลดในเวลานี้ไม่ได้ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด” โนริอากิ ยามาชิตะ กล่าว
นอกจากนั้นยังได้เสนอโครงการการจัดการซากรถยนต์เก่า (End-of-Life Vehicles) มาตรการรถเก่าแลกรถใหม่เพื่อกระตุ้นตลาด และมาตรการส่งเสริมการส่งออก เนื่องจากรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 15 ปีของไทยมีถึง 30% ของจำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนทั้งหมด และสร้าง PM2.5 สูงถึง 70% ของ PM2.5 ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
สุดท้ายตอบคำถามเรื่องแผนการลงทุนที่ยืนยันว่าจะยังคงดำเนินการตามที่เคยได้ให้คำมั่นเอาไว้ว่าจะลงทุนเป็นมูลค่า 1.2 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลา 3-5 ปีนับจากนี้
หากดูจากผลงานและความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่นในอดีต เราเชื่อมั่นได้ เมื่อญี่ปุ่นรับปากแล้วเขาจะทำตามสัญญาเสมอ ถ้าไม่ใช่เหตุสุดวิสัยจริงๆ