VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากเวียดนามเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตทั่วโลกมากกว่าเท่าตัวในปีนี้ แม้จะเผชิญความไม่แน่นอนของตลาดจากความต้องการที่ชะลอตัวและการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง โดยกำลังก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดห่าติ๋ญ เวียดนาม ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคมนี้
Nguyen Viet Quang รองประธาน Vingroup บริษัทแม่ของ VinFast กล่าวในพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อเดือนธันวาคมว่า โรงงานใหม่จะมีกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 300,000 คันต่อปีในเฟสแรก และจะเป็นรากฐานสำคัญให้ VinFast เข้าสู่ช่วง ‘การพัฒนาแบบก้าวกระโดด’ โดยโรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่สร้างร่วมกับ Gotion High-tech จากจีน และท่าเรือสำหรับการส่งออก
นอกจากนี้ VinFast ยังเตรียมเปิดโรงงานใหม่ในอินโดนีเซียและอินเดีย รวมถึงโรงงานที่ห่าติ๋ญในเวียดนามจะเป็นโรงงานประกอบชิ้นส่วนสำเร็จรูป โดยทั้ง 3 แห่งจะเพิ่มกำลังการผลิตรวม 400,000 คันต่อปี ทำให้กำลังการผลิตรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 700,000 คัน
โรงงานห่าติ๋ญจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 600,000 คันในอนาคต และ VinFast ยังมีแผนเปิดโรงงานในสหรัฐอเมริกา ที่จะผลิตได้ 150,000 คันต่อปีในปี 2028 รวมแล้วจะมีกำลังการผลิตทั่วโลกราว 1,000,000 จาก 5 โรงงาน
Pham Nhat Vuong ผู้ก่อตั้ง Vingroup และซีอีโอของ VinFast ย้ำหลายครั้งว่า การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเป็นโครงการสำคัญของเวียดนาม ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทั้งด้านภาษีและสิทธิประโยชน์อื่นๆ
แม้ VinFast จะเพิ่มกำลังการผลิต แต่ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังชะลอตัว Tesla มียอดส่งมอบในปี 2024 ลดลงเป็นครั้งแรก และมีรายงานว่าระงับแผนสร้างโรงงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังมีผู้ผลิตล้มละลาย เช่น Fisker ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐฯ และ Northvolt ผู้ผลิตแบตเตอรี่จากสวีเดน
ขณะที่ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีนประกาศลดราคาทั่วโลก ส่งผลให้ยอดขายในไทยและอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นอย่างมาก
จุดสว่างของ VinFast คือผลงานของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก VF3 ที่มีราคาต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อเลือกแผนเช่าแบตเตอรี่ ซึ่งผู้ใช้จ่ายค่าแบตเตอรี่แยกตามระยะทางที่ขับ เทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่มีราคาเฉลี่ยราว 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ผลประกอบการ 11 เดือนแรกของปี 2024 VinFast ส่งมอบรถยนต์ในเวียดนาม 67,000 คัน มีโอกาสทำยอดขายเกินเป้า 80,000 คันทั้งปี ซึ่งจะเป็น 2 เท่าของปีก่อน และทำให้ VinFast มีส่วนแบ่งตลาดนำหน้า Toyota และ Hyundai
โดยสัดส่วนยอดขายให้กับ GSM ผู้ให้บริการแท็กซี่ไฟฟ้าในเครือลดลงจากกว่า 70% ในปี 2023 เหลือประมาณ 20% ในไตรมาส 3 ปี 2024 แสดงให้เห็นว่าแบรนด์เริ่มเป็นที่ยอมรับในตลาดผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น
การขยายตัวอย่างรวดเร็วของ VinFast ยังรวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยบริษัทในเครือของ Vuong วางแผนติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าประมาณ 100,000 แห่งในอินโดนีเซีย ด้วยเงินลงทุนสูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรองรับการขยายตลาดในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดกำลังทวีความรุนแรง โดยเฉพาะจากผู้ผลิตจีนที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนและห่วงโซ่อุปทาน แม้ VF3 จะมีระยะทางขับขี่ต่อการชาร์จที่ 215 กิโลเมตร น้อยกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจีนที่ราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งทำได้ 305 กิโลเมตร
แต่ VinFast มองว่า VF3 มีศักยภาพที่จะเป็นโมเดลหลักในตลาดเกิดใหม่ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาประสิทธิภาพในอนาคตและภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากจีน
ความท้าทายใหญ่ของ VinFast คือการทำกำไร บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิมากกว่า 10 ล้านล้านดอง (ประมาณ 1.37 หมื่นล้านบาท) ต่อไตรมาส ณ สิ้นเดือนกันยายน มีเงินสดเหลือเพียง 2 ล้านล้านดอง ในเดือนตุลาคม บริษัทระดมทุน 6 ล้านล้านดองผ่านการออกหุ้นกู้ 2 ชุด อัตราดอกเบี้ย 13.5% ต่อปี สูงกว่าหุ้นกู้ของธนาคารใหญ่ที่ให้ดอกเบี้ย 5-7% เกือบเท่าตัว
Vuong ประกาศจะอัดฉีดเงิน 50 ล้านล้านดองให้ VinFast จนถึงสิ้นปี 2026 และ Vingroup ประกาศเพิ่มเงินทุนอีก 35 ล้านล้านดอง โฆษกของ Vingroup แสดงความมั่นใจในสถานะการเงินของ VinFast และระบุว่า นี่จะเป็นการสนับสนุนครั้งสุดท้ายจากบริษัทแม่ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างความยั่งยืนทางการเงินในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงและต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
ภาพ: Walter Eric Sy / Shutterstock
อ้างอิง: