มันคงต้องมีสักช่วงหนึ่งในชีวิตที่เรารู้สึกว่าทำอะไรก็ผิดไปหมด ผิดที่ว่าอาจเกิดจากตัวเองที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ประมาทเลินเล่อ หรือบางครั้งก็อาจเกิดจากความไม่ฟังก์ชันของร่างกายและสมองจนสรวลไปหมดทุกสิ่ง
ทว่าเราจะรับมืออย่างไรในวันที่ผิด เพราะถูก ‘โยนความผิด’ ให้ล่ะ โดยเฉพาะเมื่อคนคนนั้นดันเป็นคนใกล้ตัวอย่างครอบครัว คนรัก หรือหัวหน้าในที่ทำงาน ที่ต้องคอยเจอหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเผชิญเหตุการณ์ลักษณะนี้อย่าเพิ่งวู่วามเถียงกลับด้วยความไวแสง ลองสูดหายใจให้ลึก ตั้งสติ แล้วรับมือด้วยวิธีดังต่อไปนี้ เชื่อเถอะว่าการรับมืออย่างมีสติจะสามารถช่วยให้คุณก้าวผ่านปัญหาได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือสุขภาพจิตจะดีขึ้นตามไปด้วย
ลองฟังเขาก่อน
สิ่งที่เราทำได้เป็นอันดับแรกคือ ‘การรับฟัง’ จริงอยู่ที่ไฟในตัวเราพร้อมจะปะทุเมื่อมีคนมาโบ้ยความผิดให้เราทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ขอให้ลองฮึบแล้วฟังเขาพูดให้จบ เพราะทุกคนล้วนมีความคิดและมุมมองที่แตกต่างกันออกไป
ทบทวนตัวเอง
เมื่อฟังแล้วให้ใช้เวลาทบทวนตัวเองและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คิดย้อนกลับไปถึงต้นตอของปัญหา บางทีมันอาจมีข้อผิดพลาดบางอย่างที่เกิดจากตัวเรา แต่เราเผลอมองข้ามก็เป็นได้
พูดคุยด้วยเหตุผลบนความใจเย็น
หากลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วพบว่าตัวเองไม่มีความผิดจริงๆ ก็ต้องรับมือด้วยวิธีการคุยด้วยเหตุผลผนวกกับสกิลความใจเย็น แม้อีกฝ่ายจะร้อนหรือยียวนแค่ไหนก็ตาม
ที่สำคัญคือ ‘หลีกเลี่ยงการพูดว่าอีกฝ่ายผิด’ ประโยคนี้เหมือนเป็นการสุมไฟด้วยน้ำมัน เนื่องจากคนเหล่านี้มักมีมายด์เซ็ตว่าตัวเองถูกที่สุดและถูกเสมอ เถียงไปก็มีแต่หัวร้อน สุขภาพจิตพังเปล่าๆ
แนะนำให้ลองปรึกษาหาทางออกร่วมกันด้วยท่าทีที่เปิดใจ หากเรามีเจตนาดีและใจที่บริสุทธิ์จริง อีกฝ่ายก็คงจะสัมผัสได้บ้าง
เซฟตัวเองจากการเป็นถังขยะ
รับฟังก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว (ในกรณีมีความผิดจริง) พยายามหาทางแก้ปัญหาก็แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเรายังคงเป็นถังขยะที่ต้องรองรับอะไรแย่ๆ อย่างไม่จบไม่สิ้น เมื่อนั้นคงเป็นสัญญาณว่าเราต้องเซฟตัวเองอย่างจริงจังแล้วแหละ
ลองถามตัวเองว่า “ทำแบบไหนแล้วเราสบายใจกว่า” บางคนอาจเลือกที่จะยอมรับว่าเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ เลยเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการทำตัวเป็นคนหูทวนลม ปล่อยวางให้ได้มากที่สุด
บางคนสบายใจที่จะหลีกเลี่ยง พูดคุยเฉพาะคราวจำเป็น
บางคนสบายใจที่จะเอาตัวเองออกมาจากจุดนั้นอย่างถาวร เพราะรู้ว่าฝืนเจอหน้ากันต่อไปก็มีแต่ชีช้ำหรือไม่ก็เสียสติเข้าสักวัน
ปรึกษานักสุขภาพจิต
หากรู้สึกว่ามืดแปดด้าน เลือกตัดสินใจอะไรไม่ได้สักอย่าง การพบนักสุขภาพจิตก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี นอกจากจะได้ระบายเรื่องราวที่อัดอั้นตันใจในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว คุณจะได้แนวคิดดีๆ ที่ช่วยฮีลใจได้ไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าคุณจะเลือกทางใด ขอให้รู้ว่ามันไม่มีผิดหรือถูก แต่มันคือการเลือกที่จะเซฟสุขภาพจิตตัวเอง อย่าไปกลัวการถูกตราหน้าว่าอ่อนแอ ไม่อดทน หรือเห็นแก่ตัว เพราะคนที่รู้ดีและเข้าใจตัวเองที่สุดก็คือตัวคุณเอง