วันนี้ (25 ธันวาคม) ที่ศูนย์ระบบเทคโนโลยีจราจรกรุงเทพมหานคร ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อม วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ต.อ. อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ สิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง ร่วมแถลงข่าวถึงมาตรการจำกัดความเร็วของรถในเขตกรุงเทพมหานครเหลือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ชัชชาติกล่าวว่า ปัจจุบันการกำหนดความเร็วในกรุงเทพมหานครสูงกว่าเมืองหลวงประเทศอื่นๆ คือ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในขณะที่ประเทศที่กำหนดความเร็วในเขตเมืองต่ำสุดคือฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสูงสุดคือมาเลเซีย 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเฉลี่ยจึงอยู่ที่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ปัจจุบันการใช้ความเร็วเฉลี่ยบนถนนในกรุงเทพมหานครกำหนดขีดจำกัดความเร็วที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จากการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่ใช้ความเร็วเฉลี่ยไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยอัตราการเสียชีวิต (Fatality Risk) เมื่อเทียบความรุนแรงของการกระแทกจากการชน พบว่าการใช้ความเร็วที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 20% หากใช้ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีโอกาสเสียชีวิตประมาณ 60%
“การขับรถด้วยความเร็วเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต เช่น กรณีของคุณหมอกระต่าย ซึ่งหากลดความเร็วลงเหลือ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะลดโอกาสเสียชีวิตลงได้ถึง 3 เท่า โดยในอนาคตจะใช้เทคโนโลยีกล้องตรวจจับมาช่วยในเรื่องของบทลงโทษออกใบสั่งให้เหมือนในต่างประเทศ”
ชัชชาติกล่าวต่อว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) ปรับปรุงมาตรการหลายอย่างเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน เช่น เพิ่มไฟฟ้าแสงสว่างกว่า 90,000 ดวง ปรับปรุงทางม้าลายให้ชัดเจนขึ้นกว่า 1,000 แห่ง ปรับจุดเสี่ยงอุบัติเหตุในกรุงเทพฯ กว่า 100 จุด ซึ่งทำให้อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในกรุงเทพฯ ลดลงถึง 9% อัตราการตายในระดับประเทศลดลง 1% นั้นแสดงว่า กทม. เดินมาถูกทางแล้ว โครงการจำกัดความเร็วนี้จะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ อาจจะไม่ได้แก้ปัญหาการจราจรติดขัดโดยตรง แต่แก้ปัญหาผู้เสียชีวิตจากความเร็ว ลดอุบัติเหตุ และช่วยเรื่องเศรษฐกิจของประเทศ
ด้านวิศณุกล่าวเสริมว่า แนวโน้มของสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิตช่วงปี 2564-2567 พบว่า
- จำนวนผู้เสียชีวิตจากสาเหตุการดื่มแล้วขับโดยรวมมีแนวโน้มลดลงในช่วงปี 2564-2567 แต่กลับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2567แสดงให้เห็นว่าแม้สถานการณ์จะดูเหมือนดีขึ้น แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด
- จำนวนผู้เสียชีวิตจากสาเหตุการใช้ความเร็วเกินกำหนดโดยรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2564-2566 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2566 มีผู้เสียชีวิตจากพฤติกรรม ‘ขับเร็ว’ สูงถึง 268 ราย แต่มีแนวโน้มจะลดลงในช่วงปี 2567 โดยลดลงเหลือ 165 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้ความพยายามในการป้องกันจะเริ่มเห็นผล แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการอย่างต่อเนื่อง
- จำนวนผู้เสียชีวิตจากสาเหตุการฝ่าฝืนกฎจราจรโดยรวมมีแนวโน้มคงที่ในช่วงปี 2564-2567 การ ‘ฝ่าสัญญาณไฟจราจรเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่พบมากที่สุด สะท้อนถึงการไม่เคารพกฎและมักนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชนประสานงาหรือการชนท้าย
นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ ร่วมกับการฝ่าสัญญาณไฟจราจร เช่น ขับเร็ว แซง เลี้ยวตัดหน้าเปลี่ยนเลนกะทันหัน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น