สงครามกลางเมืองในซีเรียที่ยืดเยื้อมากว่า 13 ปี ดำเนินมาสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ หลังกลุ่มต่อต้านเข้าโจมตีเมืองอเลปโป เมืองที่ใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศแบบสายฟ้าแลบ จนสามารถยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองไว้ได้ ถือเป็นปฏิบัติการที่มีความแข็งกร้าวมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสงครามที่นอกจากจะกินเวลานานแล้ว ยังลุกลามสู่สงครามตัวแทนซึ่งมีหลายประเทศในภูมิภาคเข้ามาโยงใยด้วย
ปฏิบัติการครั้งล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีที่กลุ่มต่อต้านหวนกลับมาต่อสู้ในเมืองอเลปโป โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ฝูงเครื่องบินรบของรัสเซียเคยเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอย่างดุเดือดใส่พื้นที่แห่งนี้ จนช่วยให้ บาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดี สามารถยึดเมืองคืนได้ การแทรกแซงของรัสเซีย อิหร่าน กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และกลุ่มอื่นๆ เป็นสิ่งที่ช่วยให้อัสซาดยังสามารถครองอำนาจในซีเรียไว้ได้ในพื้นที่ที่เขาควบคุมอยู่ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 2 ใน 3 ของประเทศ
-
สถานการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไร
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน สถานการณ์การสู้รบยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้น แหล่งข่าวจากกลุ่มต่อต้านให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters ว่า พวกเขาสามารถยึดเมืองมาราอัตอัลนูมาน (Maraat al Numan) ในจังหวัดอิดลิบได้ ถือเป็นความคืบหน้าของกลุ่มต่อต้านที่สร้างความท้าทายต่ออัสซาดอย่างหนัก
ตัดภาพมาที่ฝั่งกองทัพซีเรียซึ่งยืนยันในวันเดียวกันว่า กลุ่มต่อต้านยังไม่สามารถสร้างฐานที่มั่นในเมืองอเลปโปได้ เนื่องจากกองทัพถล่มโจมตีฐานของกลุ่มต่อต้านอย่างต่อเนื่อง แต่ในเวลาต่อมา กองทัพก็ออกมาให้ข่าวว่า “ถอนกำลังทหารออกจากเมืองอเลปโปชั่วคราว” เพื่อเตรียมการตอบโต้ระลอกใหม่
ด้านสำนักข่าว Sky News รายงานว่า เครื่องบินรบของรัสเซียและซีเรียโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มต่อต้านในเมืองอเลปโปเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ขณะที่รัฐบาลซีเรียคาดหวังว่ารัสเซียจะส่งความช่วยเหลือทางทหารมาให้เพิ่มเติมอีก
อย่างไรก็ตาม การสู้รบที่ดุเดือดในดินแดนซีเรียได้โหมกระพือความกังวลที่ว่าอาจเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นอีกครั้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อิสราเอลก็ขับเคี่ยวต่อสู้กับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา และเพิ่งจะประกาศข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ซึ่งทั้งสองล้วนเป็นกลุ่มติดอาวุธที่มีอิหร่านเป็นพันธมิตร โดย โรเบิร์ต ฟอร์ด ทูตสหรัฐฯ ประจำซีเรียมองว่า การหยุดยิงของอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (จากที่ก่อนหน้านี้อิสราเอลกระหน่ำโจมตีใส่เป้าหมายในซีเรียมานานหลายเดือน) อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ให้กลุ่มต่อต้านในซีเรียเปิดปฏิบัติการรุกคืบได้มากขึ้น
-
การสู้รบที่เมืองอเลปโปอาจส่งผลกระทบใดบ้าง
ย้อนกลับไปเมื่อราว 13 ปีก่อน ประชาชนชาวซีเรียลุกฮือต่อต้านประธานาธิบดีอัสซาด ก่อนการประท้วงอย่างสันติจะแปรเปลี่ยนเป็นสงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบในปี 2011 นับตั้งแต่นั้นมาไฟสงครามกลางเมืองของซีเรียก็ไม่เคยดับมอด คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 5 แสนคน ขณะที่ชาวซีเรียราว 6.8 ล้านคนต้องหนีออกจากประเทศในช่วงสงคราม โดยส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานใหม่ในตุรกี ขณะข้อมูลในปี 2023 ระบุว่ามีประชาชนเกือบ 1.3 ล้านคนได้รับความคุ้มครองในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าอัสซาดครองพื้นที่ราว 2 ใน 3 ของประเทศ ฉะนั้นแล้วพื้นที่อีก 1 ส่วนที่เหลือหรือราว 30% ที่อยู่นอกอำนาจของอัสซาดจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังจากหลายฝ่าย ทั้งกลุ่มต่อต้านและกองกำลังต่างชาติ สหรัฐฯ มีทหารประมาณ 900 นายที่ประจำการอยู่ในทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่ม ISIS กลับมามีอำนาจได้
ทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอลต่างก็โจมตีกองกำลังของรัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธที่เป็นพันธมิตรกับอิหร่านในซีเรียเป็นครั้งคราว ขณะที่ตุรกีก็มีกองกำลังในซีเรียเช่นกัน และมีอิทธิพลกับกองกำลังฝ่ายต่อต้านที่บุกโจมตีเมืองอเลปโปด้วย
หนังสือพิมพ์ The Independent สัมภาษณ์ ชาร์ลส์ ลิสเตอร์ จากสถาบันตะวันออกกลาง ซึ่งเขากล่าวว่า การโจมตีครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นหลังช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญใดๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ “มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างมากและอาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้” หากกองกำลังของรัฐบาลซีเรียต้านไม่อยู่ และคำถามสำคัญต่อมาคือนักรบ ISIS จะมองว่าการรุกคืบที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสของพวกเขาหรือไม่ ก็ถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง
ฟอร์ดกล่าวว่า การสู้รบในเมืองอเลปโปจะส่งผลสถานการณ์ความไม่มั่นคงขยายวงกว้างมากขึ้น หากในที่สุดรัสเซียและตุรกีเข้ามาร่วมในวงการสู้รบนี้ด้วย เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีผลประโยชน์ของตนเองที่ต้องปกป้องในซีเรีย
-
กลุ่มต่อต้านที่บุกโจมตีเมืองอเลปโปคือใคร
สหรัฐฯ และองค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้กองกำลังฝ่ายต่อต้านที่เป็นผู้นำการโจมตีเมืองอเลปโป หรือฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม (Hayat Tahrir al-Sham: HTS) เป็นองค์กรก่อการร้ายมานานแล้ว
โดยผู้นำของกลุ่มอย่าง อาบู โมฮัมเหม็ด อัล-โกลานี (Abu Mohammed al-Golani) ก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ในซีเรียเมื่อปี 2011 ซึ่งในช่วงไม่กี่เดือนแรกของสงครามซีเรีย การต่อสู้ของเขาถือเป็นการแทรกแซงที่ไม่พึงประสงค์สำหรับกลุ่มต่อต้านซีเรียจำนวนมาก ซึ่งหวังจะรักษาการต่อสู้กับการปกครองอันโหดร้ายของประธานาธิบดีอัสซาดให้ปราศจากการก่อการร้ายที่รุนแรง
อัล-โกลานี อ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในช่วงแรก พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะโจมตีกองกำลังตะวันตก และส่งตำรวจศาสนาไปบังคับให้สตรีแต่งกายสุภาพ
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาพยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ขึ้นมาใหม่ โดยประเทศตัดความสัมพันธ์กับกลุ่มอัลกออิดะห์ในปี 2016 ยุบกองกำลังตำรวจศาสนาของตน ปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงในพื้นที่ของตน และแสดงตนเป็นผู้ปกป้องศาสนาอื่น รวมทั้งอนุญาตให้เมืองอิดลิบจัดพิธีมิสซาแบบคริสเตียนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
-
ทำไมเมืองอเลปโปถึงจมอยู่ในสงคราม
เมืองอเลปโปถือเป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง โดยเป็นจุดตัดของเส้นทางการค้าและอาณาจักรต่างๆ มายาวนานนับพันปี ก่อนสงครามจะปะทุขึ้นในปี 2011 เมืองอเลปโปเคยมีประชากรหนาแน่นถึง 2.3 ล้านคน แต่แล้วกลุ่มต่อต้านก็ยึดครองพื้นที่ทางตะวันออกของเมืองในปี 2012 และตั้งแต่นั้นมา เมืองอเลปโปก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของการรุกคืบของกลุ่มต่อต้านติดอาวุธ
ในปี 2016 กองกำลังของรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากการโจมตีทางอากาศของรัสเซียได้ปิดล้อมเมืองนี้ ซึ่งอาวุธของรัสเซียทำลายเมืองไปอย่างหนัก ส่งผลให้กลุ่มต่อต้านที่ขาดอาหารและถูกปิดล้อมในเมืองต้องยอมจำนนในปีดังกล่าว หรือกล่าวได้ว่ากองกำลังรัสเซียคือผู้ที่สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญในสงคราม และทำให้อัสซาดสามารถครองอำนาจต่อไปได้
มาในปีนี้ กลุ่มตรวจสอบอิสระเผยว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในเมืองอเลปโปได้สร้างความเสียหายต่อคลังอาวุธของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และกองกำลังซีเรีย รวมถึงเป้าหมายอื่นๆ แต่อิสราเอลแทบไม่เคยยอมรับว่ามีการโจมตีในเมืองอเลปโปและพื้นที่อื่นๆ ที่รัฐบาลยึดครองในซีเรีย
ภาพ: Mahmoud Hasano / Reuters
อ้างอิง: