บรรยากาศในหลายเมืองของยูเครนตกอยู่ภายใต้ความมืดมิด หลังรัสเซียเปิดฉากโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ โดยใช้โดรน 100 ลำ และขีปนาวุธ 90 ลูก ถล่มเป้าหมายโครงข่ายไฟฟ้าหลายจุดของยูเครนเมื่อวานนี้ (28 พฤศจิกายน) ส่งผลให้ประชาชนยูเครนได้รับผลกระทบกว่า 1 ล้านคน
เบื้องต้นไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการโจมตีดังกล่าว โดยภายหลังเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมง วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย แถลงข่าวขณะเยือนกรุงอัสตานาของคาซัคสถาน ชี้แจงว่าการโจมตีระบบไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเป็นการตอบโต้ที่ยูเครนใช้ระบบขีปนาวุธ ATACMS ของสหรัฐฯ ในการโจมตีดินแดนรัสเซียอย่างต่อเนื่อง พร้อมประกาศคำขู่ว่าจะโจมตีเป้าหมายทางทหารและศูนย์กลางการตัดสินใจในกรุงเคียฟด้วยขีปนาวุธโอเรชนิก (Oreshnik) ที่เป็นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงและสามารถบรรจุหัวรบนิวเคลียร์ได้
ขณะที่ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน เตือนว่าการข่มขู่แบล็กเมลใดๆ ของรัสเซีย จะต้องเผชิญกับการตอบโต้ที่รุนแรง พร้อมทั้งอ้างว่ารัสเซียมีการใช้หัวรบขีปนาวุธที่มีระเบิดแบบคลัสเตอร์ในการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและเป้าหมายพลเรือน
ทั้งนี้ ระหว่างแถลงข่าวปูตินยังได้กล่าวถึงการที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อนุญาตให้ยูเครนใช้ระบบขีปนาวุธ ATACMS โดยมองว่าเป็นการเพิ่มความลำบากให้แก่รัฐบาลชุดใหม่ของ โดนัลด์ ทรัมป์
เขายังตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่าการตัดสินใจของไบเดนจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างมอสโกและวอชิงตันหรือไม่ ซึ่งปูตินยกย่องทรัมป์ว่าเป็นคนที่ฉลาดและมีประสบการณ์ และมองว่าสิ่งต่างๆ อาจดีขึ้นหลังจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2025
อ้างอิง: