สิทธา เซ่งไพเราะ Associate Director, ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่ายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังทราบผลการเลือกตั้งว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่
ทั้งนี้ หลังทราบผลการเลือกตั้งดังกล่าวส่งผลให้หุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของสหรัฐฯ หลายแห่งปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในหลายอุตสาหกรรม จากก่อนหน้านี้ที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้มักไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวมากนัก ซึ่งภายหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีโอกาสที่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมีโอกาสที่จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ Outperform
‘ทรัมป์’ ครองเสียงข้างมาก 2 สภา เป็นบวกกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกทั้งพรรครีพับลิกันสามารถครองเสียงได้ทั้งสภาบนและสภาล่าง ส่งผลให้มีโอกาสที่จะสามารถผ่านกฎหมายได้ค่อนข้างง่าย ทั้งกฎหมายในการปรับลดภาษี รวมทั้งกฎหมายในการลดหย่อนกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจและธุรกิจในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วระดับหนึ่ง แต่ก็ประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคง Upside หรือมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
ยอมรับหุ้นสหรัฐฯ มูลค่าแพง P/E พุ่งแตะ 30 เท่า
สิทธากล่าวต่อว่า อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันแม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 20-30 เท่า โดยยอมรับว่าเป็นระดับที่ทำให้มูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่แพง ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะมีมูลค่าที่ค่อนข้างตึงตัว ดังนั้นด้วยมูลค่าหุ้นที่แพงดังกล่าวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเป็นปัจจัยถ่วงให้ Upside ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงนี้อาจมีแนวโน้มลดลง
ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้ามีน้ำหนักมากเพียงพอที่จะส่งผลบวกให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ แต่อาจเห็นอัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2025 ที่จะมี Upside ลดลงจากปีนี้ เนื่องจากหากดูตัวเลขของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย S&P 500 ในช่วงต้นปีถึงปัจจุบันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 25% จึงมองว่าทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2025 ยังมี Upside แต่จะเริ่มเห็นการปรับเพิ่มขึ้นที่ค่อนข้างตึงตัวหรือปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นชะลอตัวจากปี 2024
3 ปัจจัยหลักดันหุ้นสหรัฐฯ ปีหน้าบวกต่อ
สำหรับปัจจัยบวกสนับสนุนที่มองว่าจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมี 3 ข้อ ดังนี้
- แนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เห็นการขยายตัวที่ดีได้ต่อเนื่อง แต่อาจเห็นอัตราการขยายตัวที่อาจชะลอตัวลงไปบ้าง ขณะที่ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ได้ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ จะเป็นปัจจัยที่สร้างความคาดหวังให้กับนักลงทุน หากสามารถดำเนินนโยบายในช่วงที่หาเสียงไว้ได้จริง เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ ให้ขยายตัวได้ดี
- แนวโน้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่ยังผ่อนคลาย โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แม้ว่าจะเริ่มมีความกังวลว่าการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นจากหลายนโยบายที่เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียง
ทั้งนี้ มองว่าผลกระทบจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นคาดว่าจะยังไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งประเมินว่าจะเห็นผลกระทบอย่างเร็วที่สุดคือในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยปัจจุบันยังคงเห็นแนวโน้มเงินเฟ้อที่มีการชะลอตัวหรืออยู่ในระดับทรงตัว โดยเฉพาะราคาบ้าน รวมถึงราคาค่าเช่าที่ยังอยู่ในลักษณะทรงตัวหรือชะลอตัว
- แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/25 ของบริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 พบว่าตัวเลขผลประกอบการของหลายอุตสาหกรรมที่รายงานออกมาดีเกินคาด อีกทั้งเป็นการตอกย้ำว่าเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มจากเดิมในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่การเติบโตที่โดดเด่นมักจะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหุ้น 7 นางฟ้า (The Magnificent Seven) ซึ่งอยู่ในกลุ่มบิ๊กเทค
แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มการเติบโตที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในปี 2025 ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีการเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกันประมาณ 8-15% จากปีนี้ที่จะเห็นการเติบโตของกำไรในหุ้นกลุ่มบิ๊กเทคเป็นหลัก ซึ่งคาดว่ากำไรจะมีการเติบโตประมาณ 30-40%
โดยประมาณว่าทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2025 ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ตามการเติบโตของทิศทางภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อยู่ โดยเริ่มเห็นแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่กระจายตัวในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น จากเดิมที่จะมีการเติบโตกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มหุ้น 7 นางฟ้า
“ด้วยสามเหตุผลจึงคิดว่าน่าจะมีน้ำหนักมากเพียงพอหรือมีน้ำหนักมากกว่าทำให้ภาพระยะสั้นของตลาดสหรัฐฯ ในช่วง 1 ปีข้างหน้ายังมีทิศทางที่จะเห็นการ Sideway Up ได้ แต่ระหว่างทางอาจจะมีความผันผวนเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน”
เจาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าลงทุนหรือไม่
สำหรับข้อแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ กับนักลงทุนทั่วไป สำหรับการลงทุนในกองทุนเปิดแนะนำให้รอจังหวะราคาหุ้นย่อตัวเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ
ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีอยู่แล้ว สามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนในรูปแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA) โดยซื้อสะสมแบบทุกเดือนหรือซื้อสะสมแบบทุกไตรมาสได้
เนื่องจากหากดูข้อมูลสถิติย้อนหลัง 20 ปีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ พบว่าหากลงทุนในรูปแบบ DCA ในระยะเวลา 3 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้ราว 8% ต่อปี และยังมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 80%