หุ้นไทย พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,500 จุดเมื่อ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่หลังจากนั้นดัชนี SET ก็อยู่ในช่วงของการชะลอ โดยล่าสุดดัชนีลดลงมาอยู่ที่ราว 1,455 จุดท่ามกลางแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทย โดยเฉพาะเรื่องของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 3 ที่จะประกาศออกมาครบทั้งหมดในสัปดาห์นี้
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาล่าสุดถือว่าน่าผิดหวังอย่างมาก แม้รายได้โดยรวมจะใกล้เคียงกับตลาดคาดการณ์ แต่ผลกำไรต่ำกว่าคาดถึง 23% ส่วนใหญ่เป็นผลจากกำไรของกลุ่มวัสดุและพลังงาน
ผลประกอบการที่น่าผิดหวังนำไปสู่การปรับลดคาดการณ์กำไรของ บจ.ไทย อีกครั้ง โดยตลาดคาดกำไรต่อหุ้น (EPS) ของ บจ. ในปี 2567 และปี 2568 จะลดลงมาอยู่ที่ 88.3 บาทต่อหุ้นและ 99.7 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ
หากอิงจาก Earning Yield Gap ที่ 3.58% และ Bond Yield 10 ปีที่ 2.41% จะทำให้ดัชนี SET ที่ระดับ 1,456 จุดเป็นระดับที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งต่ำกว่าระดับเดิมที่ 1,510-1,530 จุด
อย่างไรก็ตาม ณัฐชาตมองว่า “ยังพอมีลุ้นว่ากำไรที่ย่ำแย่อาจจบแค่ไตรมาส 3 เพราะไตรมาส 4 อาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภคซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมามักเกิดต้นปี แต่ปีนี้คาดหวังว่าจะเกิดปลายปี รวมทั้งการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ไฮซีซัน”
ปัจจุบันนักลงทุนในประเทศยังเป็นกลุ่มหลักที่ช่วยพยุงหุ้นไทย แม้แรงซื้อสุทธิจะเริ่มแผ่วไป แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะฝั่งซื้อจะเห็นว่าสัดส่วนยังสูงกว่า 10% แต่การซื้อของกองทุนจะเป็นลักษณะรอซื้อในจังหวะย่อตัว และอาจรอซื้อจุดที่ต่ำลงมากขึ้น
“ต่างชาติในช่วงที่เหลือคงไม่กลับเข้าหุ้นไทยแน่ๆ หลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เงินดอลลาร์จะยังแข็งค่า จากนี้ไปจนถึงสิ้นปีจะเห็นแรงซื้อสถาบันปะทะแรงขายต่างชาติ ทำให้ SET จะถูกยื้ออยู่ในกรอบ 1,400-1,500 จุด” ณัฐชาตกล่าว
นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1.29 แสนล้านบาท แม้เดือนกันยายนจะกลับมาซื้อสุทธิ 2.9 หมื่นล้านบาท แต่ก็กลับมาขายสุทธิ 2.8 หมื่นล้านบาทในเดือนตุลาคม และขายต่อเนื่องนับแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ด้าน ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า เราคาดการณ์กำไรไตรมาส 3 ที่ 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งลดลง 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 6% จากไตรมาส 2
ไตรมาส 3 จะเป็นไตรมาสที่กำไร บจ. แย่สุดในปีนี้ ทั้งจากขาดทุนสต็อกของกลุ่มพลังงานและผลกระทบจากน้ำท่วม ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4 ภาดลคาดว่า กำไรของ บจ. จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งเติบโต 10% จากไตรมาส 3 และเติบโต 48% จากปีก่อน เนื่องจากกำไรปีก่อนของ บจ. ค่อนข้างต่ำ เพราะการตั้งด้อยค่าของหลายบริษัท เช่น TU และ IVL
ทั้งนี้ กลุ่มค้าปลีกและไฟแนนซ์น่าจะเป็นกลุ่มที่โดดเด่นที่สุดในไตรมาสสุดท้ายของปี เนื่องจากแรงหนุนของโครงการ 10,000 บาท และต้นทุนการเงินที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว