ในอุตสาหกรรมเพลงระดับโลก มีศิลปินจากคอมมูนิตี้ LGBTQIA+ น้อยคนนักที่จะถูกขนานนามว่าเป็น ‘ตำนาน’ แต่หนึ่งในนั้นก็จะมีชื่อของ Freddie Mercury จารึกไว้ จากวลีดังที่เขาเคยกล่าวไว้หลังจากเป็นนักร้องนำวง Queen “ฉันไม่ได้จะมาเป็นดารา ฉันจะมาเป็นตำนาน” ซึ่งประโยคนี้เองก็พิสูจน์แล้วว่ามันคือเรื่องจริง แต่ไม่ใช่แค่บทบาทนักร้องเท่านั้นกับสถานะตำนาน เพราะในฐานะ ‘แฟชั่นไอคอน’ เขาก็สามารถขึ้นไปสู่จุดนั้นได้เช่นกัน
อิทธิพลด้านแฟชั่นและดนตรีของ Freddie ได้แตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย ทั้งกับเหล่าศิลปินชื่อดัง เช่น Lady Gaga ไปจนถึงเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง David Bowie แต่ที่การันตีว่าเขาคือแฟชั่นไอคอนรุ่นใหญ่ตัวจริงคงจะหนีไม่พ้นการที่เรายังเห็นสไตล์สุดลื่นไหลของเขาเป็นแรงบันดาลใจในแวดวงแฟชั่นอยู่เสมอ
วันนี้ THE STANDARD POP เลยจะพาทุกคนไปย้อนดูสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์และเต็มไปด้วยสัญญะเรื่องเพศสภาพของนักร้องนำวง Queen คนนี้กันว่า ตอนที่เขายังมีลมหายใจ เขาได้สร้างแรงกระเพื่อมผ่านเครื่องแต่งกายอย่างไร
ICONIC TANK TOP
หากเอ่ยถึงชื่อ Freddie Mercury ขึ้นมา หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงลุคที่โด่งดังที่สุดของเขาอย่างลุคเสื้อกล้ามและกางเกงสีขาว สไตลิ่งด้วยเข็มขัดและสายรัดแขนตอกหมุดในโชว์ Live Aid ปี 1985 เขาโชว์มัดกล้ามและขนหน้าอกบนเวทีอันเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความเป็นชาย’ ทำให้ลุคนี้เป็นภาพจำในช่วงยุค 80 ของนักร้องในตำนานคนนี้เลย สลัดภาพ Glam-Rock ไร้เพศสุดโต่งที่เขาชอบใส่ในยุค 70 ไปแบบสิ้นเชิง อีกทั้งลุคนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมทางเพศแบบซาดิสม์ผ่านเข็มขัดและสายรัดข้อแขนที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมย่อยของคอมมูนิตี้เกย์ในยุค 80 ด้วย
YELLOW MILITARY JACKET
ภายในงาน Fashion Aid ปี 1985 งานการกุศลระดมทุนให้กับประเทศเอธิโอเปีย มีการรวมนักออกแบบแฟชั่นและเซเลบริตี้ชื่อดังมากมาย หนึ่งในลิสต์นั้นก็มีชื่อ Freddie Mercury ด้วย เขาปรากฏตัวในแจ็กเก็ตสไตล์ Military จาก David and Elizabeth Emanuel แบรนด์อังกฤษชื่อดัง เพื่อสวมบทบาทสมมติเป็นสามี-ภรรยากับนักแสดงสาว Jane Seymour นอกจากนั้นบนสเตจในช่วงยุค 80 เขาก็มักสวมแจ็กเก็ตกลิ่นอายทหารนี้ขึ้นโชว์อยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะบนเวทีที่ Wembley Stadium ในปี 1986 ซึ่งเป็นทัวร์ครั้งสุดท้ายของเขา ดังนั้นลุคนี้จึงเป็นภาพจำในช่วงท้ายของชีวิตราชาคนนี้เลยก็ว่าได้
CAMPY JUMPSUIT
ย้อนไปในปี 1974 ณ Madison Square Garden ใจกลางเกาะแมนฮัตตัน Freddie ได้ขึ้นโชว์ในชุดแคตสูทคอวีประดับเลื่อมทั้งตัว ลุคนี้กลายเป็นอีกลุคที่ฮือฮามากๆ ของเขา เพราะด้วยซิลูเอตและดีเทลที่จัดจ้านราวกับนางโชว์ โดยเบื้องหลังของลุคนี้ก็สะท้อนถึงความชอบในศาสตร์ละครเวทีของเขา ซึ่งยืนยันด้วยการแสดงร่วมกับ The Royal Ballet ในปี 1979 ความต้องการยกระดับโชว์และคนดูด้วยแฟชั่นกลิ่นอายผสมผสานละครเวที ซึ่งนั่นเป็นอีกเป้าหมายของ Freddie ที่ต้องการหลุดจากกรอบและขนบของแวดวงร็อกแอนด์โรลแบบเดิมๆ พร้อมพาวง Queen กลายเป็นร็อกสตาร์ค้างฟ้ามาจนถึงปัจจุบัน
THE KIMONO
ขึ้นชื่อว่าเป็นวงร็อกแอนด์โรลที่ได้รับความนิยมสูงสุดอีกหนึ่งวง ทำให้ราชาอย่างวง Queen ต้องเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกเป็นประจำ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นก็เป็นหนึ่งในจุดหมายและเป็นสถานที่ที่ Freddie ได้รู้จักกับไอเท็มอย่าง ‘กิโมโน’ อีกหนึ่งไอเท็มที่เขาใช้แสดงการปลดแอกอัตลักษณ์ทางเพศ อีกทั้งยังสะท้อนไปถึงแบ็กกราวด์ที่เติบโตมาในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเขา โดยค้นพบว่า Freddie สะสมกิโมโนไว้ถึง 50 ชิ้น และใส่ขึ้นโชว์หลายต่อหลายครั้ง แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือโชว์ในแคลิฟอร์เนียปี 1977
THE FAMOUS CAPE
อย่างที่เราได้กล่าวไปว่า ตอนแรกในช่วงปี 1970 สไตล์ของ Freddie มีความ Glam-Rock ซึ่งอีกหนึ่งลุคที่เป็นภาพจำของแฟนๆ วง Queen ก็คงหนีไม่พ้นลุคผ้าคลุมระบายสีขาวสุดเฟมินีนของเขาที่ออกแบบโดย Zandra Rhodes เรียกว่าชุดนี้แสดงให้เห็นถึงการก้าวข้ามเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของ Freddie เลย นอกจากนั้นยังสะท้อนถึงความอินในเรื่องงานดีไซน์ของเขา และสอดคล้องไปกับการยกระดับโชว์ของวง Queen ให้พิเศษกว่าใคร ดั่งประโยคที่ Freddie กล่าวไว้ว่า “นี่ไม่ใช่คอนเสิร์ต แต่เป็นแฟชั่นโชว์”
SHADES OF RED
ลุคของ Freddie ที่เรากล่าวถึงจะเป็นสีโมโนโครมเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสีขาว สีเงินจากบรรดาเลื่อม มาจนถึงลุคสีแดงสุดแกลมจากมิวสิกวิดีโอเพลง It’s A Hard Life ที่เขาได้สวมชุดกุ้งสีแดง (Red Prawn Suit) ประดับขนนกที่ออกแบบโดย Natasha Korniloff สะท้อนให้เห็นถึงสไตล์สุดโต่งของเขาและความกล้าในการแต่งตัวอย่างไร้กรอบ โดยเล่นกับเรื่องดีเทล ซิลูเอต และสี นอกจากนั้นเรายังเห็นเขาใส่โททัลลุคสีแดงอีกหลายครั้งบนเวที เช่น ปี 1980 ที่เขาได้สวมกางเกงไวนิลสีแดงเข้ารูปกับท่อนบนเปลือยเปล่าขึ้นโชว์ใน Madison Square Garden
FETISH VIBES
ปิดโมเมนต์แฟชั่นสุดไอคอนิกของ Freddie ไปกับลุคสุด Fetish ในทัวร์สหราชอาณาจักรปี 1978 ซึ่งเขาปรากฏตัวในชุดหนังพีวีซีสีดำทั้งหมด สไตลิ่งด้วยแว่นตาและหมวกสีดำ ซึ่งชูให้ลุคสะท้อนการแสดงออกถึงตัวตน LGBTQIA+ ของเขา อีกทั้งยังเป็นลุคที่แสดงถึงการเปลี่ยนผ่านจากสไตล์สุด Androgyny มาสู่ Masculinity ในแบบฉบับของเขา นอกจากนั้นยังเป็นการชูวัฒนธรรมและรสนิยมทางเพศแบบ BDSM ผ่านแฟชั่นได้เป็นอย่างดี ทำให้ราชาในนามราชินีคนนี้ถือเป็นไอคอนของทุกเพศในเรื่องแฟชั่นสุดลื่นไหลเลย