×

6 ส.ส. ภูมิใจไทย เข้าไต่สวนให้ยกเลิกประกาศ กทม. ขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาทตลอดสาย

โดย THE STANDARD TEAM
04.02.2021
  • LOADING...
รถไฟฟ้าสายสีเขียว

วันนี้ (4 กุมภาพันธ์) ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส. ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย ศุภมาส อิศรภักดี ส.ส. บัญชีรายชื่อ, มณฑล โพธิ์คาย ส.ส. กทม., โชติพิพัฒน์ เตชะโสภณมณี ส.ส. กทม., พิษณุ พลธี ส.ส. ปทุมธานี และ อนาวิล รัตนสถาพร ส.ส. ปทุมธานี เข้าร่วมการไต่สวนในคดีที่ฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ยกเลิกประกาศกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2560 เรื่องค่าโดยสารโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ตอนที่ 1 (ซอยสุขุมวิท 95, ซอยสุขุวิท 107) ระยะทาง 5.25 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายสายสีลม ตอนที่ 2 (ตากสิน-เพชรเกษม) ระยะทาง 6.3 กิโลเมตร ทำให้การจัดเก็บอัตราค่าโดยสารตลอดเส้นทางไม่เกิน 104 บาท ซึ่งต่อมามีประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องการกำหนดค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา

 

สิริพงศ์กล่าวก่อนการเข้าไต่สวนว่า เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวของ กทม. ไม่ชอบ เป็นภาระแก่ประชาชน วันนี้เป็นการมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับศาล โดยจะชี้ให้ศาลเห็นว่า ก่อนหน้านี้ปี 2562 กทม. ได้มีการเจรจาทำสัญญากับบีทีเอส โดยสัญญากำหนดราคาไว้ที่ 65 บาทตลอดสาย เมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าสายอื่น เช่น สายสีน้ำเงิน ตอนนี้มีค่าบริการที่ 42 บาทตลอดสาย มีประชาชนขึ้นวันละ 300,000 คน บีทีเอสก็สามารถดำเนินการได้ ดังนั้นถ้าบีทีเอสยึดร่างสัญญาเดิม และมีผู้ใช้บริการบีทีเอสที่คาดว่าจะอยู่ที่วันละ 800,000-1,000,000 คน คิดว่าอัตราดังกล่าวก็เชื่อว่าสามารถดำเนินการได้

 

“การจะตั้งราคา 104 บาทตลอดสาย ต้องคิดว่าคนคนหนึ่งเดินทางไปทำงานทั้งไปและกลับต้องมีการขึ้น-ลงหลายสถานี เท่ากับว่าภาระของเขาวันหนึ่งต้องมี 100-200 บาท ดังนั้นจะเป็นภาระมากสำหรับคนที่มีรายได้ปานปลางถึงมีรายได้น้อย และเราคาดการณ์ว่า ในปี 2572 สัญญาสัมปทานของบีทีเอสในส่วนตรงกลางจะหมดลง เมื่อไม่มีภาระสัมปทานอัตราค่าโดยสารย่อมถูกลงได้อีก ดังนั้นการที่จะมาเก็บค่าโดยสาร 104 บาทตลอดสาย และตลอดอายุสัญญาสัมปทาน หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา มันไม่สามารถเยียวยาประชาชนได้ทัน” สิริพงศ์กล่าว

 

สิริพงศ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะชี้ให้ศาลเห็นว่า ยังมีการดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น ร่างสัญญาที่ กทม. ทำกับบีทีเอส ยังไม่เคยผ่านการพิจารณาของ ครม. เลย ในอดีตมีแต่ผ่านสำนักเลขาธิการ ครม. ดังนั้น ครม. จึงยังไม่เคยเห็นเลยว่าร่างสัญญานี้กำหนดให้เก็บค่าโดยสารเท่าไร และมติ ครม. มีการกำหนดชัดเจนว่าการจะปรับขึ้นค่าโดยสาร กทม. จะต้องหารือกับทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง ให้ครบถ้วน เพื่อให้การเก็บค่าโดยสารไม่เป็นภาระแก่ประชาชน แต่ กทม. ก็ไม่ได้ดำเนินการตามมติ ครม. เลย การฟ้องครั้งนี้ในฐานะประชาชนและ ส.ส. ที่ทำหน้าที่แทนปวงชน หากเราไม่ฟ้อง ถือว่าเราทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์

 

ต่อมาสิริพงศ์กล่าวหลังการไต่สวนนาน 2 ชั่วโมง ว่า ศาลสนใจซักถามใน 3 ประเด็น คือ 

 

  1. การขึ้นราคาไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ได้ชี้แจงว่า ร่างสัญญาที่ กทม. ทำกับบีทีเอสยังไม่ผ่าน ครม. จึงไม่น่าจะกำหนดราคาใหม่ได้ และการที่ กทม. จะขึ้นค่าโดยสารจะต้องทำในลักษณะบูรณาการร่วมกับกระทรวงคมนาคม โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

 

  1. หาก กทม. ประกาศขึ้นราคา แล้วคำสั่งไม่ชอบจะมีผลอย่างไร และสามารถเยียวยาประชาชนได้หรือไม่ ซึ่งชี้แจงว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์จะใช้บริการบีทีเอส หากต่อมาพบว่า การปรับขึ้นราคาดังกล่าวไม่ชอบ ก็ยากที่จะเยียวยา เพราะหากขึ้นราคาจะมีส่วนต่างประมาณ 40 บาท แล้วจะเยียวยาประชาชนได้อย่างไร เพราะคนที่ขึ้นบีทีเอสไม่มีใบเสร็จจ่ายเงิน

 

  1. ถ้าศาลสั่งทุเลา บังคับการประกาศขึ้นราคาของ กทม. ไว้ก่อน จะมีผลต่อการบริการสาธารณะของ กทม. หรือไม่ เราก็ได้ชี้แจงต่อศาลว่า กทม. เป็น อปท. แบบพิเศษ มีการจัดเก็บรายได้เอง มีเงินคงคลังที่เข้มแข็ง ที่ผ่านมา กทม. แบกรับภาระขนคนมาในพื้นที่ไข่แดง 3 ปีเศษ ฉะนั้นถ้าวันนี้ กทม. จะชะลอการปรับขึ้นราคาออกไป โดยเสนอ ครม. พิจารณาก่อน ก็เชื่อว่าสามารถทำได้

 

“กทม. ชี้แจงต่อศาลว่า การขึ้นราคาเป็นอำนาจที่ กทม. ทำได้ และอ้างว่าทำตามมติ ครม. ซึ่งเราเห็นว่าเขาทำตามมติ ครม. บางข้อที่เขาได้ประโยชน์ การอ้างว่าการปรับขึ้นราคาทำตามมติ ครม. เพียงบางข้อ ไม่ได้ทำทุกข้อจึงเห็นว่าการกระทำของเขาไม่ชอบ เพราะ กทม. อ้างว่าสิ่งต่างๆ ที่ทำรับมาจาก ครม. แต่เรื่องการกำหนดราคาเป็นหน้าที่ของเขา ซึ่งเราก็เห็นว่าหากคุณรับมาจาก ครม. ทั้งขบวนแล้ว ก็ต้องรับมติ ครม. ด้วย ไม่ใช่รับแค่สิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์ แต่สิ่งใดที่ตัวเองเสียประโยชน์ก็บอกว่าเป็นไปตามมติ ครม. อย่างนี้ผมเห็นว่าไม่ถูก” สิริพงศ์กล่าว

 

สิริพงศ์กล่าวต่ออีกว่า เมื่อศาลถามว่าหากคำสั่งไม่ชอบจะเยียวประชาชนอย่างไร เรื่องนี้ กทม. ก็ไม่ตอบ มีแต่บอกว่ารัฐจะเยียวยา กทม. อย่างไร ซึ่งเป็นการตอบไม่ตรงคำถาม แล้ว กทม. ก็บอกว่าตัวเองมีภาระหน้าที่เยอะ ไม่สามารถดูแลส่วนนี้ได้ ซึ่งเราก็เห็นว่าไม่เป็นจริงอย่างที่ กทม. แถลงต่อศาล ซึ่งศาลได้นัด กทม. ส่งเอกสารเพิ่มเติม ทั้งเอกสารสัญญาการจ้างเดินรถ ตารางการเก็บค่าโดยสาร ให้ส่งเอกสารภายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ โดยศาลแจ้งว่า กรณีนี้ศาลให้ความสนใจ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวนมาก ก็จะพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนที่ประกาศของ กทม. จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising