×

กินหัว กินหาง กินกลางตลอดตัว 100 Mahaseth อาหารสไตล์พื้นบ้านเอเชียอาคเนย์

07.10.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • นิยามของร้านอาหารแห่งนี้คือ ‘Nose to Tail South East Asian Inspiration’ นำโดยอาหารอีสานและอาหารเหนือของไทย เสริมทัพด้วยเพื่อนบ้านอย่างอาหารเวียดนามและอาหารลาว โดดเด่นด้วยการเลือกใช้ส่วนประกอบของเนื้อสัตว์แบบหมดจดทั้งตัว ซึ่งดีต่อระบบนิเวศทางอาหาร
  • ‘หัวใจหมูย่างกับสลัดผักชี’ เชฟจะนำหัวใจหมูมาดองน้ำปลาทิ้งไว้ 1 วัน แล้วเอาไปตากอีก 2 วัน จากนั้นก็เอาไปย่าง ได้เนื้อหัวใจหมูสไลด์สีชมพูสวย เสิร์ฟกับยำผักชีรวมมิตร
  • ‘ข้าวปุ้นสมองหมู’ ใช้เนื้อสมองหมูต้มเป็นน้ำยาแทนเนื้อปลาป่นราดบนเส้นขนมจีน กินคู่กับผักและมันทอดสูตรของทางร้าน

     “เราอยากขายเมนูเฝออร่อยๆ แบบที่เคยกินที่ซานฟรานฯ” คือจุดเริ่มต้นที่เชฟชาลี กาเดอร์ และเชฟแรนดี้-ชัยชัช นพประภา มาร่วมกันเปิดร้านอาหาร 100 Mahaseth (100 มหาเศรษฐ์) ริมถนนมหาเศรษฐ์ ใกล้ถนนเจริญกรุง ที่ทั้งคู่นิยามว่าเป็นอาหารแบบ ‘Nose to Tail South East Asian Inspiration’ โดยนำอาหารอีสานและอาหารเหนือของไทย เสริมทัพด้วยเพื่อนบ้านอย่างอาหารเวียดนามและอาหารลาว โดดเด่นด้วยการเลือกใช้ส่วนประกอบของเนื้อสัตว์แบบหมดจดทั้งตัว นอกจากเนื้อหมูและเนื้อวัวที่เลือกมาจากผู้ผลิตที่มีคุณภาพแล้ว วัตถุดิบอื่นๆ ของทางร้านก็คัดสรรมาเป็นอย่างดี ทั้งกะปิ น้ำปลา ข้าว ที่มาจากเกษตรกรและผู้ผลิตที่พิถีพิถัน

 

เชฟชาลี กาเดอร์ และเชฟแรนดี้-ชัยชัช นพประภา

คู่หูแห่ง 100 Mahaseth

 

     จากจุดเริ่มต้นที่ทั้งสองกล่าวมา หลังจากเตรียมตัวมานานหลายเดือนและเปิดร้านมาได้เพียงแค่เดือนแรก ทางร้านก็ยังไม่ได้ออกเมนูเฝอตามที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่เริ่มต้นด้วยเมนู Nose to Tail สไตล์อีสานเพื่อบุกตลาดด้วยมื้อเย็น แล้วค่อยเตรียมเปิดมื้อกลางวันด้วยเฝอเนื้อรสอร่อยและเล้งต้มแซ่บ  

 

อาคารสีน้ำตาลแดงหลังใหญ่

ภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องสีแดงอิฐ ให้บรรยากาศคล้ายโรงนา

 

The Vibe

     อาคารสีน้ำตาลแดงหลังใหญ่ให้บรรยากาศคล้ายโรงนา ภายในตกแต่งด้วยกระเบื้องสีแดงอิฐ เฟอร์นิเจอร์ไม้มีเพียงโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ที่ดูเรียบง่ายแบบไทยๆ บวกกับวัตถุดิบที่นำมาวางตกแต่งในร้านอย่างขวดน้ำปลา หอม กระเทียม ทำให้เรานึกถึงครัวไทยสมัยก่อน ซึ่งเชฟทั้งสองเผยว่าไอเดียตั้งต้นในการตกแต่งร้านก็คือ Barn House อย่างที่เราคิดเอาไว้จริงๆ

     ฝั่งหนึ่งแบ่งเป็นบริเวณครัวโปร่งของร้าน สามารถมองเห็นการทำงานของเชฟได้ แต่ที่เด่นที่สุดก็คือตู้แช่ที่มองเห็นชิ้นส่วนเนื้อต่างๆ ทั้งหัวหมูและเนื้อดรายเอจอย่างทะลุปรุโปร่ง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นกำแพง Beer Wall Tap ที่ช่วยให้ร้านดูมีกิมมิกสวยๆ เพิ่มขึ้น โดยรวมก็คือความเรียบง่ายไร้จริตตามสไตล์ชนบทในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ไขกระดูกส้าขี้ม่อน

 

The Dishes

     เมนูแรกที่ทุกคนไม่ควรพลาดก็คือ ไขกระดูกส้าขี้ม่อน (320 บาท) เป็นกระดูกแข้งวัวผ่าแนวขวาง นำไปย่างบนเตาถ่านให้ไขกระดูกละลาย แล้วเอางาขี้ม่อนที่คั่วให้กรอบคลุกกับมะนาว น้ำปลา พริก ต้นหอม ตะไคร้ ราดบนไขกระดูก ซึ่งความโดดเด่นของไขกระดูกคือรสชาติของเนื้อที่จะมีรสอูมามิเฉพาะตัว เมื่อกินกับงาขี้ม่อนปรุงรสก็จะได้ความกรุบกรอบ ทำให้ไม่เลี่ยน หลายคนอาจจะเคยเห็นเมนูไขกระดูกย่างในอาหารตะวันตก แต่สำหรับอาหารไทยนั้น รับรองว่าหากินได้ยากแน่นอน

     ส่วนคนที่ไม่นิยมกินเนื้อ ต้องลองเมนูจากชิ้นส่วนหมูอย่าง หัวใจหมูย่างกับสลัดผักชี (220 บาท) ซึ่งเชฟจะนำหัวใจหมูมาดองน้ำปลาทิ้งไว้ 1 วัน แล้วเอาไปตากอีก 2 วัน จากนั้นจึงเอาไปย่าง ได้เนื้อหัวใจหมูสไลด์สีชมพูสวย เสิร์ฟกับยำผักชีรวมมิตรที่รวมผักชีทุกแบบ ทั้งผักชีลาว ผักชีไทย ผักชีใบเลื่อย แล้วก็มีถั่วลิสง มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว กุ้งแห้งป่น ผสมกับน้ำยำคล้ายๆ น้ำของส้มตำไทย หรือจะลอง ข้าวปุ้นสมองหมู (280 บาท) ที่ใช้เนื้อสมองหมูต้มเป็นน้ำยาแทนเนื้อปลาป่นราดบนเส้นขนมจีน กินคู่กับผักและมันทอดสูตรของทางร้าน

 

(ซ้าย) แกงขี้เหล็กหางวัว (ขวา) หัวใจหมูย่างกับสลัดผักชี

 

(ซ้าย) หมูสะดุ้ง (ขวา) ข้าวปุ้นสมองหมู

 

     สำหรับคนที่ยังลังเลไม่กล้ากินของแปลก เราขอเสนอเมนู หมูสะดุ้ง (240 บาท) ที่เอาหมูส่วนบนของพอร์กช็อปซึ่งติดมันมาย่าง กินกับใบชะมวง ก้านคูน หอมแดง ผักชี ผสมกับน้ำยำที่ออกรสหวานเพื่อตัดกับรสเค็มของหมูและรสเปรี้ยวของใบชะมวง อีกเมนูที่คนรักอาหารเหนือจะต้องไม่พลาดก็คือ ลาบคั่วลานนา (330 บาท) จะสั่งเป็นเนื้อหรือหมูก็ได้ สามารถกินคู่กับข้าวเหนียวและข้าวเจ้าที่ทางร้านสั่งเบลนด์มาเป็นพิเศษจากสุรินทร์ เป็นความตั้งใจที่จะเอาข้อเด่นของข้าวแต่ละสายพันธุ์มาผสมผสานเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ทิ้งท้ายมื้อนี้อีกนิดว่า เมื่อได้ข้าวอร่อยๆ แล้ว เราอยากให้คุณลองกินคู่กับ แกงขี้เหล็กหางวัว (320 บาท) สไตล์อีสาน เสิร์ฟคู่กับตำมะอึกที่ได้รสเปรี้ยวช่วยตัดเลี่ยน

     ยังมีอีกหลายเมนูที่เหมาะกับการมาชิมกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ เช่น หัวหมูย่าง (990 บาท) ที่นำหัวหมูไปดองน้ำปลา ตากแห้ง แล้วนำมาย่าง กินคู่กับซอส 3 สูตร ได้แก่ แจ่วไทย ชิมิชูรี และแจ่วมะเขือใส่ปลาร้า หรือจะลองลิ้นวัว ลิ้นหมูย่าง ให้คุณได้เปิดประสบการณ์อาหารแบบ Nose to Tail ที่ดีต่อระบบนิเวศทางอาหาร เพราะเป็นการกินแบบไม่เหลือทิ้ง และเป็นการสนับสนุนเกษตรกรไทยที่ตั้งใจผลิตสินค้าดีๆ ออกสู่ท้องตลาด

 

 

The Drinks

     เครื่องดื่มที่นี่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ใครชอบเบียร์ก็มีเบียร์สดให้เลือก 3 ยี่ห้อ ได้แก่ สิงห์ ลีโอ และอาซาฮี (แก้วละ 120 บาท) ส่วนอีกหนึ่งหัวกด ทางร้านได้จัดสรรที่ทางไว้ให้กับยาดอง (แก้วละ 80 บาท) ซึ่งจะหมุนเวียนสูตรต่างๆ ตามแต่คนปรุงยาดองจะสร้างสรรค์ สำหรับวันนี้เราได้ลองยาดองที่ชื่อว่า ‘ปู่ดำ’ ใช้เหล้าขาวผสมกับกระชายดำ ซึ่งบอกได้เลยว่าแรงมาก แต่ก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยไม่เบา ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างไวน์ วิสกี้ รัม วอดก้า ก็มีให้เลือกแบบไม่น้อยหน้าร้านอื่น

 

What else you should know

  • เชฟชาลี กาเดอร์ ประสบความสำเร็จกับการเปิดร้านอาหารมาแล้วหลายร้าน ตั้งแต่ร้าน Surface ย่านทองหล่อ, ร้าน Holy Moly ใน The Commons, ร้าน Beer Bridge หลังสวน ส่วนเชฟแรนดี้-ชัยชัช นพประภา ก็เป็นยอดฝีมือทางด้านอาหารญี่ปุ่น เจ้าของร้านอาหาร Fillets ย่านหลังสวน ที่คออาหารญี่ปุ่นต่างพากันติดใจ
  • ด้วยความตั้งใจของเชฟชาลีและเชฟแรนดี้ที่ต้องการใช้ของโลคัล วัตถุดิบส่วนใหญ่ในร้านจึงมาจากในประเทศ มีเพียงบางเมนูเท่านั้นที่ใช้วัตถุดิบนำเข้า   
  • นอกจากทำอาหารที่ร้านแล้ว เชฟชาลีและเชฟแรนดี้ยังออกไปเสาะหาวัตถุดิบเจ๋งๆ เพื่อนำมาใช้ที่ร้านอยู่เสมอ เช่น เนื้อวัวของทางร้านจะมาจากสันกำแพง, กำแพงแสน, สุรินทร์, บุรีรัมย์ ส่วนเนื้อหมูมาจากฟาร์มปิดที่ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, ส่วนกะปิ น้ำปลา นำมาจากสมุทรสงคราม

 

 

Open: 18.00-24.00 น. (Last Order 22.30 น.) ปิดวันอาทิตย์

Address: 100 ถนนมหาเศรษฐ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ

Budget: เริ่มต้นที่ 180 บาท

Contact: 0 2235 0023

Page: www.facebook.com/100Mahaseth

Map :

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising