ก่อนที่เกมระหว่างอาร์เจนตินากับโปแลนด์จะเริ่มขึ้น เกิดความรู้สึกบางอย่างอยู่ลึกๆ กับคำถามที่ยังไม่พร้อมจะตอบว่าถ้าหากอาร์เจนตินาแพ้โปแลนด์ตกรอบ และ ‘การเต้นรำครั้งสุดท้าย’ ของเมสซีจะจบลงแค่ตรงนี้มันจะเป็นอย่างไร?
มันจะเป็นเรื่องแสนเศร้าไหม หรือเข้าใจได้เพราะจากสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ ‘เบียงคิเชเลสเต’ เล่นได้ห่างไกลจากสิ่งที่ทุกฝ่ายคาดหวังจากทีมแชมป์โคปา อเมริกาอย่างมาก
โชคดีที่ The Last Dance ของเมสซียังไม่จบเท่านี้ แม้จะมีเหตุการณ์ที่น่ากังวลเกิดขึ้นเมื่อราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์พลาดมหันต์ เมื่อยิงลูกจุดโทษพลาดไปติดเซฟของ วอจเซียค เซสนี ซึ่งในฟุตบอลโลกครั้งนี้โชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างน่าประทับใจ เป็นการเซฟจุดโทษครั้งที่ 2 ของประตูยูเวนตุสแล้ว
ความจริงจุดโทษนี้ก็ไม่สมควรจะได้ทางความรู้สึก เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นต้องบอกว่าเป็นลูกจุดโทษที่เบาหวิวอย่างมาก เมื่อผู้ตัดสินมองว่าจังหวะที่เซสนีออกมากระโดดชกบอลแล้วมือไปโดนใบหน้าของเมสซี ซึ่งพยายามขึ้นโขกที่เสาไกลและบอลหลุดกรอบไปเป็นการทำฟาวล์
แต่เอาเข้าจริงการพลาดจุดโทษของเมสซีก็ทำให้หัวใจของแฟนอาร์เจนตินาหล่นลงพื้นเหมือนกัน เพราะยามนั้นโปแลนด์ตั้งค่ายกลรับมือได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งความจริงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเล่น ‘รถบัสสองชั้น’ ปิดช่องทางทำมาหากินของทีมฟ้าขาวให้มิด
โปแลนด์รับเหนียวในระดับที่อาร์เจนตินาก็หาทางไปไม่เป็นเหมือนกันในช่วงครึ่งเวลาแรก และในทางตรงกันข้ามกัน ทีมของ ลิโอเนล สกาโลนี เองก็ยังดูอ่อนแอเกินกว่าจะหาทางทำร้ายคู่แข่งได้
เรื่องนี้ดูเป็นปัญหาสำหรับอาร์เจนตินามาตั้งแต่เริ่มทัวร์นาเมนต์ เกมรุกของพวกเขามีตัวเลือกที่ดีน้อยกว่าคู่แข่งอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงทีมที่บุกเป็นพายุอย่างฝรั่งเศส (แม้จะพ่ายตูนิเซียในนัดสุดท้ายด้วยนักเตะชุดสำรองก็เถอะ) บราซิล หรือสเปน
สิ่งที่ดีขึ้นในเกมนี้สำหรับอาร์เจนตินาคือเกมแดนกลางและเกมรับที่กลับมาแกร่งสมราคาแชมป์ละตินอีกครั้ง
สกาโลนีเดิมพันราคาแพงอยู่ด้วยการดรอป ลิซานโดร มาร์ติเนซ ที่เล่นได้ดีในเกมที่ 2 ออกจากทีม และเลือกใช้ คริสเตียน โรเมโร กับ นิโกลัส โอตาเมนดี อีกครั้ง ทำให้เกิดกระแสโจมตีการตัดสินใจครั้งนี้อย่างมากว่ามันอาจถึงขั้นทำลายความฝันของเมสซีเลยทีเดียว
แต่ทั้งโรเมโรและโอตาเมนดีก็ตอบคำถามได้ชัดเจนว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับโอกาสในการลงสนามก่อน เพราะสามารถตัด โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ออกจากเกมได้ด้วย ‘ศิลปะเกมรับ’ ในแบบอาร์เจนตินาที่ไม่ได้เห็นแบบนี้มานาน
สไตล์กองหลังอาร์เจนตินาจะเน้นในเรื่องของการอ่านจังหวะเกมและเข้าถึงตัวเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งได้ทำอะไร ไม่ว่าจะจับบอลหรือพลิกบอล ซึ่งวันนี้แนวรับของพวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม
อีกส่วนสำคัญคือการเลือก เอนโซ เฟร์นันเดซ กองกลางดาวรุ่งซึ่งทำได้ดีในเกมนัดที่เอาชนะเม็กซิโกได้ โดยนอกจากจะทำประตูยังดูเป็นตัวขับเคลื่อนทีมที่ยอดเยี่ยม จึงได้โอกาสลงเล่นร่วมกับ อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ และ โรดริโก เด ปอล ในแดนกลาง
แดนกลางที่แน่นหนาเปิดโอกาสให้เมสซีเล่นตามใจชอบได้ ซึ่งเกมนี้เจ้าตัวก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามทั้งสร้างสรรค์เกม เป็นจุดเชื่อมโยงในเกมรุก ไปจนถึงความพยายามจะหาโอกาสเปลี่ยนแปลงเกมด้วยตัวเอง
บรรยาย: เมสซีดูดีขึ้นกว่า 2 นัดแรก แต่กลับดูเหมือนจะไม่ใช่วันของเขา โชคดีที่ยังเป็นวันของคนอื่นในทีม
แต่วันนี้ดูจะไม่ใช่วันของเมสซีที่ถึงจะเล่นดีที่สุดในรอบ 3 นัด แต่ก็มีหลายจังหวะที่เขาก็ทำพลาดเอง อีกหลายจังหวะที่ดูดื้อรั้น และหลายจังหวะที่ทำลายเกมที่ไหลลื่นโดยไม่ตั้งใจเพราะเพื่อนเอาแต่มองหาเขาในสนาม
นั่นเป็นคำถามสำคัญที่อาร์เจนตินาต้องตอบว่าหากเกิดวันแบบนี้ขึ้นพวกเขาจะหาทางออกจากเขาวงกตได้ไหม?
คำตอบที่ได้ในวันนี้คือ ‘ได้สิ’ เพราะคนที่พาอาร์เจนตินาเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จไม่ใช่เมสซีคนเดียว แต่เป็นเพราะทุกคนในทีมยกระดับการเล่นขึ้นมาเพื่อแบ่งเบา
โดยเฉพาะในเรื่องของการมองหาประตู ซึ่งคนแรกที่ช่วยได้คือแมค อัลลิสเตอร์ กองกลางที่ดูชื่อแล้วน่าจะเป็นนักเตะสกอตแลนด์มากกว่าอาร์เจนตินา (ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะครอบครัวมีเชื้อสายสกอตติชและไอริชอยู่) ที่สอดขึ้นมาทำประตูขึ้นนำ 1-0 ได้สำเร็จในนาทีแรกของครึ่งหลัง
จังหวะได้ประตูนี้ถือว่าเป็นทีเด็ดของกองกลางจากไบรท์ตันที่เก่งในเรื่องของการสอดขึ้นมาหาจังหวะทำประตูในกรอบเขตโทษ ซึ่งเพราะความที่ดูเป็นนักเตะไม่โดดเด่น ทำให้แมค อัลลิสเตอร์ไม่ได้ถูกโฟกัสจากคู่แข่งมากเท่ากับนักเตะอย่างเมสซี หรือ อังเคล ดิ มาเรีย
ขณะที่อีกคนคือไอ้หนูกองหน้าดาวรุ่งอย่าง ฮูเลียน อัลวาเรซ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาก็คู่ควรกับ ‘หมายเลข 9’ ของทีมฟ้าขาวเหมือนกัน
ความจริงในระหว่างเกมที่ได้เห็นไอ้หนูกองหน้าจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในสนาม ก็อดคิดเปรียบเทียบกับอดีตศูนย์หน้าพระกาฬของอาร์เจนตินาตั้งแต่ยุคของ มาริโอ เคมเปส, ฮอร์เก วัลดาโน, กาเบรียล บาติสตูตา, เอร์นาน เครสโป ขึ้นมาไม่ได้
ดูแล้วมันช่างห่างไกลในเรื่องของคลาสลูกหนัง
แต่สุดท้ายแล้วอัลวาเรซแสดงให้เห็นกับตาว่าเขาก็เป็นหนึ่งใน ‘วันเดอร์คิด’ ของฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่สามารถฝากความหวังได้ กับประตูที่ 2 ของเกมที่เป็นการเล่นที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งตั้งแต่การหาตำแหน่ง การแต่งบอล และการจบสกอร์ที่เฉียบขาด
ความจริงหากคมและเน้นมากกว่านี้ ไอ้หนุ่มวัย 22 ปีอาจจะมีสกอร์มากกว่าหนึ่งลูกก็ได้
สปีดความเร็วจัดจ้านของเขายังชวนให้คิดถึงคู่หูของ ดิเอโก มาราโดนา อย่าง เคลาดิโอ คานิกเกีย ไอ้หนุ่มผมยาวที่เป็นดาวยิงคู่บุญ ที่ไม่ต้องเล่นดีอะไรมากมายก็ได้ แต่ขอแค่จังหวะเดียวเท่านั้นก็สามารถตัดสินเกมได้ทันที
การปรากฏตัวของผู้ช่วยเหลืออย่างแมค อัลลิสเตอร์และอัลวาเรซ และการเล่นอย่างเข้มแข็งของทุกคน ทำให้อาร์เจนตินา ‘คืนชีพ’ พลิกสถานการณ์จากความสุ่มเสี่ยงที่จะตกรอบหลังแพ้ช็อกโลกในเกมแรก กลับมาเข้ารอบเป็นแชมป์ของกลุ่ม C
ได้เจอกับออสเตรเลียรองแชมป์ของกลุ่ม D นั้นอย่างไรก็ย่อมดีกว่าการเจอกับฝรั่งเศสในรอบหน้า ซึ่งจะเป็นการย้อนรอยเกมเมื่อ 4 ปีก่อนมากมายนัก
ส่วนจะจินตนาการว่าหากผ่านด่านทีมจิงโจ้ซึ่งเข้ารอบได้แบบเซอร์ไพรส์เหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นจะไปเจอใครบ้าง? โดยเฉพาะบราซิลที่อาจต้องพบกันในรอบรองชนะเลิศ ก็เป็นสิ่งที่สามารถฝันไปก่อนได้สำหรับแฟนอาร์เจนตินาและเมสซี
ขุมกำลัง ศักยภาพทีม ฟอร์มการเล่น อาจจะยังดูเหมือนสู้คู่แข่งไม่ได้ในตอนนี้
แต่บางครั้งทีมที่จะไปได้ไกล บางทีไกลจนถึงสุดทางในฟุตบอลโลกก็มักจะเริ่มอย่างกระท่อนกระแท่นแบบนี้แหละ
มันชวนย้อนให้คิดถึงในวันที่แพ้ซาอุดีอาระเบีย เมสซีฝากถึงแฟนๆ อาร์เจนตินาไว้ว่า “ขอให้เชื่อใจ พวกเราจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
วันนี้อาร์เจนตินากลับมาแล้ว และพวกเขาไม่ได้มีแค่เมสซี
บันทึกเพิ่มเติม:
- เห็นใจตูนิเซียที่แม้จะล้มแชมป์โลกอย่างฝรั่งเศสชุดสำรองได้แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป เอาน่า อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าล้มแชมป์โลกได้!
- อีกทีมที่น่าเห็นใจไม่แพ้กันคือเม็กซิโก ซึ่งสู้ชีวิตแทบตายเมื่ออุตส่าห์ยิงนำซาอุดีอาระเบียได้ 2-0 แล้ว แต่ยังไม่เพียงพอจะเข้ารอบเพราะได้รับใบเหลืองมากกว่าโปแลนด์ ซึ่งจะเข้ารอบด้วยคะแนน ‘แฟร์เพลย์’ ทำให้ต้องพยายามโหมบุกอย่างหนัก สุดท้ายเลยโดนซาอุดีอาระเบียไว้ลายเหมือนกันยิงตีไข่แตกได้ ฝันสลายทันที