×

รู้ไหมไฟป่าก็มีชื่อ เผยเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ จึงต้องตั้งชื่อให้ไฟป่า

10.08.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไฟป่าในสหรัฐฯ จึงมีชื่อเรียกเหมือนกับที่คนตั้งชื่อให้พายุลูกต่างๆ ที่ก่อตัวในช่วงฤดูมรสุม
  • แต่ละปีรัฐแคลิฟอร์เนียจะเกิดไฟป่านับพันครั้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อากาศแห้ง โดยไฟป่าแต่ละครั้งอาจมีแหล่งต้นเพลิงต่างกัน ซึ่งในหลายๆ กรณี หน่วยงานที่ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่มักจะเป็นผู้ตั้งชื่อให้ไฟป่า
  • ประโยชน์ของการตั้งชื่อให้ไฟป่าก็เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ในการบันทึกข้อมูลและตอบสนองต่อไฟป่าตามจุดต่างๆ เพราะยิ่งตั้งชื่อได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น

ในรอบเดือนที่ผ่านมา ข่าวไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ครองพื้นที่สื่อต่างประเทศแทบจะทุกสำนัก เพราะภัยธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันรวม 18 จุดครั้งนี้นับว่าเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมลรัฐดังกล่าว ขณะที่ไฟป่าขนาดใหญ่ซึ่งมีชื่อว่า Mendocino Complex Fire ยังคงลุกลามกินพื้นที่เกือบ 800,000 ไร่ ส่วนไฟป่าขนาดเล็กกว่าอย่าง Carr Fire ก็มีอานุภาพทำลายล้างไม่แพ้กัน

 

แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไฟป่าในสหรัฐฯ จึงมีชื่อเรียกเหมือนกับที่คนตั้งชื่อให้พายุลูกต่างๆ ที่ก่อตัวในช่วงฤดูมรสุม

 

THE STANDARD จะไขข้อสงสัยในเรื่องนี้กัน

 

 

ในแต่ละปีรัฐแคลิฟอร์เนียจะเกิดไฟป่านับพันครั้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อากาศแห้ง โดยไฟป่าแต่ละครั้งอาจมีแหล่งต้นเพลิงต่างกัน ซึ่งในหลายๆ กรณี หน่วยงานที่ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่มักจะเป็นผู้ตั้งชื่อให้ไฟป่า แต่นอกเหนือจากหน่วยงานต่างๆ แล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่เข้าถึงพื้นที่เป็นชุดแรกๆ ก็สามารถตั้งชื่อให้ไฟป่าได้เช่นกัน

 

โดยส่วนใหญ่แล้วไฟป่ามักถูกตั้งชื่อตามสถานที่ที่ไฟป่าเริ่มปะทุครั้งแรก ซึ่งอาจตั้งชื่อตามเขตหรือลักษณะเด่นทางภูมิศาสตร์ แลนด์มาร์กในท้องที่นั้นๆ หรืออาจเป็นชื่อของทะเลสาบ ภูเขา ยอดเขา หรือแม้แต่ชื่อถนนที่ตัดผ่านพื้นที่ใกล้เคียง

 

ยกตัวอย่างเช่น ไฟป่า Mendocino Complex Fire ที่เพิ่งขึ้นแท่นไฟป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนียไปหมาดๆ หลังลุกลามกินพื้นที่ 304,402 เอเคอร์ (769,920 ไร่ หรือมีขนาดเทียบเท่าเมืองลอสแอนเจลิสทั้งเมือง ก็ตั้งชื่อตามเขตเทศมณฑลเมนโดซิโน ที่ซึ่งมันเริ่มปะทุ

 

ย้อนกลับไปในปี 2003 ไฟป่า Cedar Fire ในเทศมณฑลซานดิเอโก ก็ตั้งชื่อตามน้ำตก Cedar Creek ซึ่งเป็นแหล่งต้นเพลิง ส่วน Old Fire ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันก็ตั้งชื่อตามถนน Old Waterman Canyon ในเทศมณฑลซานเบอร์นาร์ดิโน

 

 

ส่วนไฟป่าที่นักดับเพลิงเป็นคนตั้งชื่อให้นั้น ในอดีตก็มีหลายชื่อ เช่น Blankenship, Bald Knob, Soda และ Scotchmans Gulch เป็นต้น

 

สำหรับประโยชน์ของการตั้งชื่อให้ไฟป่านั้น แน่นอนว่าก็เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ในการบันทึกข้อมูลและตอบสนองต่อไฟป่าตามจุดต่างๆ เพราะยิ่งตั้งชื่อได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น ทั้งการติดตามการลุกลามของไฟป่า หรือการจัดลำดับความสำคัญของไฟป่า ซึ่งมีผลต่อการระดมกำลังคนและทรัพยากรเพื่อไปช่วยควบคุมเพลิงให้อยู่ในวงจำกัด หรือไม่ให้ลุกลามเข้าไปในเขตชุมชนที่อยู่อาศัย

 

นอกจากนี้การตั้งชื่อให้ไฟป่ายังช่วยให้นักผจญเพลิงสามารถรายงานกลับไปยังต้นสังกัดได้สะดวกขึ้นว่าพวกเขากำลังดับไฟในจุดไหน ในทางกลับกันก็ช่วยให้หน่วยงานต่างๆ ทราบพิกัดคร่าวๆ ของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ด้วย

 

ชื่อไฟป่าส่วนใหญ่มักสั้นและกระชับเพื่อความสะดวกในการบันทึกข้อมูลและรายงาน เช่น Ranch Fire และ River Fire ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของไฟป่า Mendocino Complex Fire ในเทศมณฑลเมนโดซิโน, เลก และโคลูซา

 

ข้อดีของการตั้งชื่อไฟป่าอีกประการก็คือ สามารถนำมาเปรียบเทียบในเชิงสถิติ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา และเป็นตัวชี้วัดระดับความรุนแรงหรือความเสียหายจากไฟป่าแต่ละครั้ง เช่น เมื่อปีที่แล้วเกิดไฟป่า Thomas Fire ซึ่งในตอนนั้นนับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เพราะเผาพื้นที่ป่าในเทศมณฑลเวนตูราและซานตา บาร์บารา รวม 281,893 เอเคอร์ แต่ในปีนี้ ไฟป่า Mendocino Complex Fire สร้างความเสียหายมากกว่า จึงสมารถนำมาจัดลำดับใหม่โดยที่ Thomas Fire หล่นไปเป็นที่ 2

 

ย้อนรอยไฟป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐแคลิฟอร์เนีย

 

 

สถานการณ์ไฟป่าล่าสุด

กรมป่าไม้และป้องกันไฟป่าของรัฐแคลิฟอร์เนีย (Cal Fire) รายงานว่านักดับเพลิงสามารถควบคุมไฟป่า Mendocino Complex Fire ได้แล้ว 51% หลังจากที่มันเผาผลาญพื้นที่ป่าไป 304,402 เอเคอร์ (769,920 ไร่) ใกล้กับทะเลสาบ Clear Lake

 

ส่วนไฟป่าที่ทวีความรุนแรงขึ้นมาก็คือ Holy Fire ซึ่งกำลังลุกลามพื้นที่อุทยานแห่งชาติคลีฟแลนด์ ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยล่าสุดมีรายงานว่าตำรวจได้ควบคุมตัวนายฟอเรสต์ กอร์ดอน คลาร์ก วัย 51 ปี ในเทศมณฑลออเรนจ์ หลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนวางเพลิงจนเกิดไฟป่า Holy Fire สืบเนื่องจากเขาส่งข้อความให้กับเจ้าหน้าที่อาสาสมัครดับเพลิงก่อนหน้านี้ว่าสถานที่แห่งนั้นกำลังจะถูกแผดเผา

 

ส่วนไฟป่า Carr Fire ที่ปะทุตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ล่าสุดมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเสียชีวิตเพิ่มเป็นรายที่ 3 หลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในระหว่างเดินทางไปต่อสู้กับ Carr Fire ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตจากไฟป่าในแคลิฟอร์เนียปีนี้เพิ่มเป็น 5 ราย

 

ชาวแคลิฟอร์เนียอาจต้องทนทุกข์กับวิกฤตไฟป่าไปอีกนับเดือน หลัง Cal Fire ประเมินว่าอาจต้องใช้เวลาจนถึงวันที่ 1 กันยายน จึงจะสามารถควบคุมเพลิงที่กระจายอยู่ทั่วรัฐทั้งหมดได้

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising