โดยปกติธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจประกันชีวิตต่อจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในระยะหลังมานี้ ‘ธุรกิจประกันชีวิตต่อ’ ในไทยกลับมียอดขายเติบโตสูงกว่าบริษัทประกันชีวิตและกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บทความนี้จะมาอธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงวิเคราะห์โอกาสที่ธุรกิจประกันชีวิตต่อของไทยจะกลายเป็นเสือติดปีกที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้ในอนาคต
ธุรกิจประกันชีวิตต่อ (Life Reinsurer) นั้นจะมีลูกค้ามาจากบริษัทประกันชีวิต และธุรกิจประกันวินาศภัยต่อ (Non-Life Reinsurer) จะมีลูกค้าที่มาจากบริษัทประกันวินาศภัย ซึ่งทั้ง 2 ประเภทนั้น มีลักษณะการบริหารและอยู่ภายในกรอบของกฎหมายที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยจะเห็นว่า THRE ถือหุ้น THREL เพียงแค่ 10% และตั้งอยู่ในสถานที่คนละแห่ง มีผู้บริหารคนละชุด และมีความอิสระออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
บทความที่เกี่ยวข้อง
ปกติแล้ว บริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยจะรับความเสี่ยงทุนประกันชีวิตเอาไว้ ไม่เกิน 1-4 ล้านบาทต่อกรมธรรม์ ดังนั้นส่วนเกินของทุนประกันชีวิตที่เหลือนั้นจะต้องส่งให้กับบริษัทประกันชีวิตต่อออกไปทั้งหมด ซึ่งบริษัทประกันชีวิตต่อในไทยเองก็จะมีพันธมิตรในต่างประเทศที่แบ่งรับในสัดส่วนที่ตัวเองรับไหว บริษัทประกันชีวิตต่อยิ่งมีเงินทุนหนาขึ้นก็จะได้เปรียบมากขึ้น
ซึ่งในช่วงนี้จะเห็นว่าธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างชัดเจนนั้นจะเป็นธุรกิจประเภทที่รับเงินมาก่อนและต้นทุนเกิดขึ้นทีหลัง (เอาเงินมาหมุนก่อน) เช่น บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิตต่อ บริษัทประกันวินาศภัย และบริษัทประกันวินาศภัยต่อ เพราะหนึ่งในผลกำไรของบริษัทประกันภัยก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนนั่นเอง
นอกจากบริษัทประกันชีวิตจะได้รับอานิสงส์ไปแล้ว บริษัทประกันภัยชีวิตต่อก็ได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน เพราะถ้าบริษัทประกันชีวิตมีการเติบโตที่ดี (จากการที่มีเงินสำรองลดลง) มีกำลังซื้อที่สูงขึ้น ก็จะทำให้บริษัทประกันชีวิตมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่หลากหลายและน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น และประกันชีวิตทุกตัวก็จำเป็นจะต้องมีประกันภัยต่อเป็นเงาตามตัวเพื่อบริหารความเสี่ยงให้เหมาะสม
ทิศทางของบริษัทประกันชีวิตต่อในจังหวะนี้นั้นจึงอยู่ที่การ Scaling ให้ใหญ่ขึ้น เหมือนฝนที่กำลังจะตกลงมา เพียงแค่ขยายตุ่มรับน้ำให้ใหญ่ขึ้นก็จะเป็นโอกาสในการตักตวงกำไรในอนาคต ดังจะเห็นได้ว่าบริษัทประกันชีวิตต่อในระยะหลังนี้มียอดขายเติบโตสูงกว่าบริษัทประกันชีวิตด้วยซ้ำ เนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตต่อในไทยยังมีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก และกำลังขยายตัวเป็น Growth Company เพื่อรองรับธุรกิจให้กับบริษัทประกันชีวิตได้กำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
และนอกจากผลตอบแทนจากการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นแล้ว หนึ่งในเครื่องยนต์บูสเตอร์ในการทำกำไรของบริษัทประกันชีวิตต่อที่มีมาตั้งแต่ในอดีตก็คือ ประกันสินเชื่อ (จ่ายทุนประกันชีวิตเพื่อชดใช้หนี้คงค้างที่เหลืออยู่ เวลาที่ลูกหนี้เกิดเสียชีวิต) โดยเฉพาะพวก SMEs Loan ที่ผูกกับสภาพเศรษฐกิจที่ทางสถาบันการเงินเตรียมปล่อยกู้สินเชื่อ Booster นี้จึงมีข้อเสียอยู่ที่การต้องรอให้การปล่อยกู้นั้นกลับมาเหมือนเมื่อก่อน แต่ข้อดีจะอยู่ที่ Profit Margin สูง เพราะเป็นแพ็กเกจที่ต้องซื้อพร้อมกับการยื่นขอกู้เงินไปทำธุรกิจ
ส่วนประกันสุขภาพก็เริ่มเข้ามามีบทบาทสำหรับธุรกิจประกันชีวิตต่อมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกลายเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว จนมีตลาดที่ใหญ่และกว้างขึ้น เพื่อทดแทนการประกันสินเชื่อ (ประกันชีวิตที่ขายพร้อมการปล่อยกู้สินเชื่อ) ที่ลดลงในช่วงโควิดที่ผ่านมา การประกันชีวิตต่อทางด้านประกันสุขภาพจึงเป็นตลาดที่เติบโตเร็วและมีความน่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงหลังยุคโควิดที่ทุกคนเริ่มมองหาประกันสุขภาพกันมากขึ้น และคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การกำกับดูแลด้านการบริหารความเสี่ยงผ่านประกันภัยต่อก็มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเรื่อยมา โดยเฉพาะต่อจากนี้ บริษัทประกันชีวิตจะมีความต้องการซื้อประกันชีวิตต่อเพื่อบริหารความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น เช่น บริษัทประกันชีวิตต้องยื่นแผนการบริหารความเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือประกันชีวิตต่อ และอาจต้องทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ให้เหมาะสม อีกทั้งประกันชีวิตต่อจะถูกบรรจุในวาระของการอนุมัติออกแบบประกันชีวิตทุกตัว (ซึ่งปัจจุบันก็ทำกันอยู่แล้วเป็นส่วนใหญ่)
นอกจากนี้ ธุรกิจประกันชีวิตต่อ ในประเทศไทยนั้นยังมีพื้นที่ให้สามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐในการเอื้ออำนวยความสะดวกให้บริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย ได้เข้าถึงประกันชีวิตต่อในประเทศมากกว่าไปส่งประกันชีวิตต่อออกนอกประเทศมากจนเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ภาครัฐในแต่ละประเทศมุ่งส่งเสริมธุรกิจประกันชีวิตต่อในประเทศของตัวเองให้แข็งแกร่งมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้ บริษัทประกันชีวิตที่ซื้อประกันชีวิตต่อกับบริษัทในประเทศจะถือเงินดำรงกองทุนความเสี่ยงขั้นต่ำได้ในเรตต่ำกว่าไปซื้อกับบริษัทต่างชาติ และหากขอความช่วยเหลือจากภาครัฐให้ส่งเสริมศักยภาพของบริษัทประกันชีวิตต่อในประเทศสามารถให้รับงานประกันชีวิตต่อจากต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้นก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก
สุดท้ายนี้ ตามธรรมชาติของ ‘ธุรกิจประกันชีวิตต่อ’ จะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่คือ การที่บริษัทประกันชีวิตต่อสามารถที่จะวิ่งขายงานในต่างประเทศได้อย่างอิสระมากกว่าบริษัทประกันชีวิต เหมือนที่บริษัทประกันชีวิตต่อต่างประเทศเคยบุกเข้ามาในตลาดไทยตั้งแต่ในอดีต และมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่บริษัทประกันชีวิตต่อสัญชาติไทยจะได้ผงาดเข้าไปแข่งขันสู่เวทีโลกที่ต้องมองหาธุรกิจในต่างประเทศบ้าง ซึ่งสัญญาณอันดีคงอยู่ที่บริษัทประกันชีวิตต่อเริ่มเข้าไปทำสัญญาเจรจาขายประกันภัยต่อกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา และกำลังบุกตลาดเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไต้หวันเพิ่มเติมในช่วงนี้ เป็นต้น
สรุปว่า ธุรกิจประกันชีวิตต่อ (Life Reinsurer) จะกลับมาดี โดยแหล่งเครื่องยนต์ทำกำไรของธุรกิจประกันชีวิตต่อก็จะมีผลตอบแทนจากการลงทุน เบี้ยประกันชีวิตต่อจากแบบประกันต่างๆ ของบริษัทประกันชีวิต เบี้ยประกันชีวิตต่อจากประกันสุขภาพที่สร้างฐานขึ้นมาในช่วงที่ผ่านมา และเบี้ยประกันสินเชื่อที่คอยการกลับมาของการปล่อยกู้สินเชื่อที่อั้นมานาน เป็นต้น และยิ่งถ้าธุรกิจนี้ไปขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้นก็จะยิ่งกลายเป็นเสือติดปีกที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศได้เหมือนที่บริษัทประกันชีวิตต่อในต่างประเทศเป็นกัน
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP