ในชั่วโมงนี้ เศรษฐกิจจีนจะเติบโตต่อไปอย่างไร เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมาก จากเดิมที่เศรษฐกิจจีนเคยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในยุคที่จีนเคยรุ่งเรือง มีสำนักวิเคราะห์หลายแห่ง เช่น Goldman Sachs, EIU, OECD และ The Economist เคยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ในที่สุด แม้ว่าจะแตกต่างกันบ้างในเรื่องกรอบเวลา ขึ้นอยู่กับตัวแปรในการวิเคราะห์และการตั้งสมมติฐานในการพยากรณ์ตัวเลขการเติบโต อัตราเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น (โดยเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อย่อมมีผลต่อการพยากรณ์ขนาดเศรษฐกิจ GDP จีน) เช่น บางสำนักเคยวิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจจีนจะมีขนาด GDP ที่ใหญ่กว่าสหรัฐฯ ได้ภายในปี 2030
มาถึงขณะนี้เศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัว จีนต้องเผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ทำให้เริ่มมีการตั้งคำถามถึงอนาคตเศรษฐกิจจีนว่าจะไปต่ออย่างไร และดูเสมือนว่า ไม่ง่ายที่เศรษฐกิจจีนจะแซงสหรัฐฯ ได้ตามที่เคยคาดการณ์กันไว้ บางสำนักวิเคราะห์ เช่น CEBR ปรับการพยากรณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะไม่สามารถแซงสหรัฐฯ ได้จนกว่าจะถึงปี 2036
นอกจากนี้มีนักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยที่มีข้อกังวลและมีทัศนะต่ออนาคตเศรษฐกิจจีนที่เต็มไปด้วยปัญหา โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่จะกระทบการเติบโตของจีน เช่น ความท้าทายด้านประชากร และความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจของจีนที่ฝังรากมานาน
ตัวอย่างเช่น นีลล์ เฟอร์กูสัน นักประวัติศาสตร์และนักเขียนที่มีชื่อเสียง เคยวิเคราะห์ว่า แม้ว่าที่ผ่านมา การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะน่าทึ่งมาก หากแต่สหรัฐฯ ก็ยังคงมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่กว่าจีนมาก และ นีลล์ เฟอร์กูสัน ชี้ให้เห็นว่า “มีหลายปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของจีนในระยะยาว เช่น โครงสร้างประชากรและจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ความเหลื่อมล้ำในจีน ระดับหนี้ของจีนที่สูงมาก และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์” และวิเคราะห์ว่า “จีนจำเป็นต้องมีการปฏิรูปการเมืองและสังคมเพื่อความมั่นคงและความรุ่งเรืองในระยะยาว”
อย่างไรก็ดี ยังคงมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งที่มีทัศนะในเชิงบวกต่ออนาคตเศรษฐกิจจีน เช่น ศ. ดร.หลินอี้ฟู นักเศรษฐศาสตร์จีนที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเคยคาดการณ์ว่า “เศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ภายในปี 2030”
ล่าสุดในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศ. ดร.หลินอี้ฟู ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย และดิฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมหารือกับ ศ. ดร.หลินอี้ฟู ในหลายประเด็น รวมทั้งมุมมองต่ออนาคตเศรษฐกิจจีน ในระหว่างการประชุมด้วยกันที่ประเทศไทยในครั้งนี้ ศ. ดร.หลินอี้ฟู ก็ได้ยืนยันว่า “เศรษฐกิจจีนจะ (ยังคง) แซงหน้าสหรัฐฯ ได้ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะเผชิญกับความยากลำบากในช่วงนี้ก็ตาม”
สำหรับคำอธิบายและเหตุผลหลักของ ศ. ดร.หลินอี้ฟู ในการวิเคราะห์อนาคตเศรษฐกิจจีน จากการประเมินตัวแปรสำคัญและปัจจัยเชิงโครงสร้างของจีน สรุปได้ดังนี้
ประการแรก นโยบายและบทบาทของภาครัฐ ศ. ดร.หลินอี้ฟู มั่นใจว่ารัฐบาลจีนจะสามารถใช้นโยบายที่มีประสิทธิภาพเพื่อรับมือและจัดการปัญหาต่างๆ พร้อมไปกับการรักษาโมเมนตัมในการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการกระตุ้นทางการคลังและการเงิน และการลงทุนภาครัฐเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว เช่น การวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริม Green Transition ทั้งด้านการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง พร้อมๆ ไปกับการปฏิรูปเชิงลึก เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของตลาดในระยะยาว
ประการต่อมา การปรับโมเดลเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ศ. ดร.หลินอี้ฟู ย้ำว่า จีนกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงพลิกโฉมโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งเน้น ‘พลังการผลิตที่มีคุณภาพใหม่’ (New Quality Productive Forces) โดยมีอุตสาหกรรม ‘สามใหม่’ (New Three Industries) เป็นเป้าหมายหลัก ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Photovoltaic) ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิมให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างขนานใหญ่นี้ย่อมจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตที่แผ่วลงในระยะสั้น แต่ก็เป็นความจำเป็นที่ต้องทนเจ็บเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา จีนเคยมีตัวเลขอัตราการเติบโต GDP ที่สูงกว่าสหรัฐฯ อย่างมาก ซึ่ง ศ. ดร.หลินอี้ฟู ยอมรับว่า ไม่ง่ายที่จีนจะรักษาอัตราเติบโตที่สูงเช่นนี้ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเศรษฐกิจจีนมีฐานขนาดใหญ่ขึ้น และมีอัตราการเติบโตอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นเพื่อให้เศรษฐกิจก้าวแซงหน้าสหรัฐฯ รัฐบาลจีนจำเป็นจะต้องพยายามอย่างหนัก เพื่อรักษาระดับอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ศ. ดร.หลินอี้ฟู จึงวิเคราะห์ว่า ในช่วงปี 2020-2035 ตัวเลข GDP จีนต้องขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.7 ต่อปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ประการสุดท้ายที่สำคัญคือ ปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพของจีนในระยะยาว ศ. ดร.หลินอี้ฟู เชื่อว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีนยังคงแข็งแกร่ง การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในขณะนี้เป็นเพียงระยะชั่วคราว โดยชี้ให้เห็นถึงตัวแปรและปัจจัยพื้นฐานของจีนที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงศักยภาพของจีนในระยะยาว และจะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนให้แซงหน้าสหรัฐฯ ในที่สุด สรุปได้ดังนี้
1. ปัจจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม จีนมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะเทคโนโลยีแห่งอนาคต ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีพลังงานสะอาด (Green Technology) รวมทั้งมีการอัปเกรดยกระดับภาคการผลิตของจีนอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต ศ. ดร.หลินอี้ฟู มองว่า นี่คือจุดแข็งสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจจีนในระยะยาว
รัฐบาลจีนมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมของจีนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีต่างประเทศ จูงใจให้ภาคเอกชนจีนแข่งขันกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการ เน้นสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ และการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของจีน
2. ปัจจัยด้านการบริโภค ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ของจีนมีกำลังซื้อมากขึ้น จีนมีชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นกว่า 400 ล้านคน และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita) เพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงเป็นข้อได้เปรียบของจีน รวมทั้งทิศทางเชิงนโยบายของรัฐบาลจีนที่เน้นภาคการบริโภคภายในประเทศอย่างจริงจัง เน้นสร้างความมั่นใจและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการสร้างงานเพื่อสร้างรายได้ให้ผู้บริโภคจีนมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง
3. ปัจจัยในภาคบริการ จีนกำลังเปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจที่เน้นภาคบริการมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม รวมทั้งภาคการเงิน การดูแลสุขภาพ การศึกษา และการท่องเที่ยว ซึ่งเน้นทั้งการส่งเสริมให้คนจีนเที่ยวจีน และดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวจีน เช่น นโยบายฟรีวีซ่า โดยคาดหวังให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาจับจ่ายใช้เงินภายในประเทศจีนมากขึ้น เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนภาคการบริโภคของจีนต่อไป (ทั้งนี้ ผลของนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาลจีน ทำให้สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 129.9 ในรอบ 7 เดือนของปีนี้)
4. ปัจจัยด้านนโยบายรัฐเน้นการกระจายความเจริญสู่ชนบท รัฐบาลจีนเน้นพัฒนาความเป็นเมืองให้กับชนบท ภายใต้นโยบาย ‘ฟื้นฟูชนบท’ (Rural Revitalization) เพื่อกระจายความเจริญ สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ให้กับชาวจีนในชนบท ซึ่งมีศักยภาพที่จะเป็นพลังผู้บริโภคระลอกใหม่ของเศรษฐกิจจีนต่อไป นอกจากนี้รัฐบาลจีนทุ่มงบลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างโครงข่ายการขนส่งที่ทันสมัยและครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้ชาวจีนในชนบทมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปัจจัยทั้ง 4 ด้านที่กล่าวมานั้นล้วนมีความเชื่อมโยงและส่งเสริมกันและกัน เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในขณะที่การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะช่วยรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัย และเพิ่มช่องทางในรูปแบบใหม่ๆ ในการเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น เป็นต้น ทั้งหมดนี้จึงเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ศ. ดร.หลินอี้ฟู ยอมรับว่า เศรษฐกิจของจีนต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ อย่างหนักหน่วงในช่วงที่ผ่านมา เช่น ความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความท้าทายด้านโครงสร้างประชากรสูงอายุ แต่ก็ยังคงมั่นใจในศักยภาพของจีนที่จะบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม คำทำนายในเชิงบวกและเต็มไปด้วยความหวังของ ศ. ดร.หลินอี้ฟู ย่อมจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ มีนักวิชาการบางคนโต้แย้งว่า การชะลอตัวของจีนอาจยืดเยื้อเกินกว่าที่ ศ. ดร.หลินอี้ฟู เคยคาดการณ์ไว้ และจีนยังคงมีปัญหาเศรษฐกิจที่ฝังรากลึก เช่น ช่องว่างทางรายได้ของจีนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งปัจจัยจากภายนอกที่รุมเร้าเข้ามากระทบ โดยเฉพาะความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ล้วนเป็นอุปสรรคและความท้าทายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน
โดยสรุป การพยากรณ์ของ ศ. ดร.หลินอี้ฟู มาจากสมมติฐานต่างๆ ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงตามสภาพเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่อเส้นทางการเติบโตของจีน
ท้ายที่สุดแล้ว เศรษฐกิจจีนจะแซงสหรัฐฯ ได้เมื่อไร จำเป็นต้องพิจารณาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ควบคู่ไปด้วย ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยในอนาคตที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม รวมทั้งปัจจัยจากภายนอก และที่สำคัญ เศรษฐกิจจีนจะแซงสหรัฐฯ ได้จริงหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับฝีมือและความสามารถของรัฐบาลจีนในการรับมือและจัดการกับโจทย์ยากต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคและความท้าทายได้สำเร็จอย่างแท้จริงหรือไม่ จึงต้องติดตามกันต่อไป
ภาพ: REUTERS / Zoey Zhang / File Photo