×

ญาติชอบถามเรื่องแต่งงานกับเรื่องเงินเดือน จะทำอย่างไรดีคะ

17.10.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • เวลาคนถามเรื่องส่วนตัวแบบนี้ผมคิดว่ามีเหตุผลอยู่สองแบบ แบบแรกคืออยากรู้อยากเห็น ซึ่งรู้ไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นหรอก กับแบบที่สองคือถามเพราะความเป็นห่วงเป็นใย ที่ผมมองเห็นเหตุผลแบบที่สองขึ้นมาได้ก็ตอนที่ผมมีหลานนี่แหละ ผมคิดว่าความสุขของคนเป็นผู้ใหญ่คือการได้เห็นลูกหลานเจริญเติบโต เขาเห็นเราตั้งแต่เราเป็นเด็ก เขาก็คงอยากรู้ว่าชีวิตเราเป็นอย่างไร
  • เรื่องอวดลูกอวดหลานผมคิดว่าให้เป็นความสบายใจของคนอวดแล้วกันครับ เขาก็ภูมิใจของเขา ลูกเขานี่นะ ต้องอย่าลืมนะครับว่าผู้ใหญ่บางคนชีวิตหลังเกษียณเขาไม่ได้ทำอะไรแล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็ใช้ชีวิตผ่านลูกนี่แหละ เขาก็เอาชีวิตลูกมาเล่าให้คนอื่นฟังเป็นความภูมิใจของเขานี่แหละ ปล่อยเขาครับ ให้เขามีความสุข อะไรที่ไม่รื่นหูเราก็ปล่อยไป อย่าเก็บมาดูถูกตัวเอง เราต่างคนต่างมีความภูมิใจของตัวเองที่ต่างกัน
  • เข้าใจนะครับว่าบางทีญาติบางคนก็เหมือนคนแปลกหน้าของเรา แต่ดันต้องมาสัมพันธ์กัน บางคนก็อาจจะไม่น่ารักกับเราเลย แต่อย่าลืมว่าตรงนั้นมีพ่อแม่เราอยู่ ทำอะไรก็เห็นแก่หน้าพ่อแม่เราดีกว่าครับ ถ้าใครทำไม่ดีกับเรา นั่นเป็นเรื่องของเขา แปลว่าเขาทำตัวเองไม่ดี แต่ถ้าเขาทำไม่ดีกับเราแล้วเราทำไม่ดีตอบ นั่นแหละปัญหาของเรา แปลว่าเราก็ทำตัวไม่ดีเหมือนกัน

Q: เบื่องานรวมญาติจังเลยค่ะ เจอหน้ากันญาติก็ชอบถามว่าเมื่อไรจะแต่งงาน และก็ถามว่าตอนนี้ได้เงินเดือนเท่าไร ตำแหน่งอะไรแล้ว และก็เป็นเทศกาลอวดลูกอวดหลานว่าลูกตัวเองทำงานใหญ่โตได้เงินเยอะแยะ ฟังแล้วเรารู้สึกด้อยอย่างไรไม่รู้ค่ะ นี่กำลังจะต้องไปเจอกันอีกแล้ว ดิฉันควรเตรียมตอบคำถามพวกนี้อย่างไรดีคะ

 

A: ผมจะบอกว่า คำถามเรื่องเมื่อไรจะแต่งงานนี่ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิงนะครับที่โดนถาม ผู้ชายอย่างผมก็โดนถามประจำ ยิ่งเมื่อพี่ชายแต่งงานมีหลานแล้ว คนก็ยิ่งถามผมเรื่องแต่งงานกันใหญ่ แรกๆ ผมก็รำคาญนะครับ เพราะรู้สึกเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา แต่คิดอีกที ผมว่าถ้าผมจะต้องเจอคำถามพวกนี้อยู่แล้ว แทนที่เราจะปล่อยให้มันกลายเป็นความรำคาญ เราคิดวิธีตอบที่ทำให้เราสบายใจที่จะตอบไปเลยแล้วกัน ไม่อย่างนั้นเราจะทุกข์น่าดูกับการเจอคำถามเหล่านี้

 

เวลาคนถามเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ผมคิดว่ามีเหตุผลอยู่สองแบบ แบบแรกคืออยากรู้อยากเห็น ซึ่งรู้ไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นหรอก แต่อยากรู้อยากเผือกว่างั้นเถอะ กับแบบที่สองคือถามเพราะความเป็นห่วงเป็นใย ที่ผมมองเห็นเหตุผลแบบที่สองขึ้นมาได้ก็ตอนที่ผมมีหลานนี่แหละ ผมคิดว่าความสุขของคนเป็นผู้ใหญ่คือการได้เห็นลูกหลานเจริญเติบโต เขาเห็นเราตั้งแต่เราเป็นเด็ก เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เขาก็คงอยากรู้ว่าชีวิตเราเป็นอย่างไร ถ้าเขาได้รู้ว่าลูกหลานเติบโตมีหน้าที่การงานที่ดี มีคนดูแลได้ มีความสุขดี เขาก็คงสบายใจ มันก็มาจากพื้นฐานเรื่องความเป็นห่วงนี่แหละครับ

 

แต่ผมจะบอกให้นะครับว่า บางครั้งมันก็มีแค่เส้นบางๆ กั้นระหว่างความอยากรู้อยากเห็นและความเป็นห่วงนี่แหละ ฮ่าๆ ผมก็ปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าคนบางคนเขาแค่อยากสอดรู้สอดเห็นเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีความปรารถนาดีอะไรเลย และบางคนก็ถามเพราะเป็นห่วงเราจริงๆ แต่วิธีที่ผมทำและอยากแบ่งปันก็คือ ไม่ว่าจะถามด้วยเหตุผลอะไรมา ผมจะไม่ทุกข์ไปกับคำถามนั้น เพราะว่าเดี๋ยวเราก็จากกันแล้ว และเราไม่ควรทิ้งความรู้สึกที่ไม่ดีให้แก่กัน ขึ้นชื่อว่าเรื่องมารยาทและจิตสำนึกแล้ว มันมีมาไม่เท่ากันหรอกครับในแต่ละคน แต่ผมจะไม่ทำเรื่องไม่ดีกับเขาก็แล้วกันเพื่อความสบายใจของตัวผมเอง ผมห้ามไม่ได้หรอกที่ใครจะถามอะไร แต่ผมห้ามตัวเองไม่ให้ทำร้ายคนอื่นได้ และผมมีวิธีการตอบในแบบของผมที่เราจะเดินจากกันไปโดยไม่ติดค้างความรู้สึกอะไร

 

ตอนที่ผมไปงานแต่งงานพี่ชายแล้วเจอคนถามเยอะๆ ว่า เมื่อไรจะแต่งงาน ผมเปลี่ยนมันเป็นเกมเลยว่า เราจะตอบพวกเขาอย่างไรดีให้ไม่ทำร้ายกัน และเราก็หาความสนุกจากการตอบคำถามนั้นไปด้วย ผมตอบไปติดตลกว่า “ขอบคุณมากครับที่ถาม งั้นดีเลยครับ ถ้าคุณลุงคุณป้าจะกรุณาสมทบทุนค่าจัดงานแต่งงาน เดี๋ยวผมแต่งเลยครับ ขอซองล่วงหน้าเลยครับ” กับ “วันนี้อย่าให้ผมขโมยซีนพี่ชายตัวเองเลยครับ ให้เขาหล่อที่สุดสักวัน เดี๋ยววันอื่นผมหล่อกว่าเหมือนเดิมแหละครับ” หรือไม่ก็ “จะให้ผมแบ่งสมบัติไปให้ใครล่ะครับ หามายากนะครับ”ฯลฯ ตอบเสร็จก็หัวเราะ และผมก็เห็นว่าคนถามก็หัวเราะมีความสุขไปด้วย ไม่มีใครมาคาดคั้นเอาความกับผมว่าทำไมไม่แต่งงานแบบจะเอาคำตอบให้ได้ สุดท้ายเราก็แยกย้ายกันไปด้วยความรู้สึกที่ดี สิ่งที่เขาถามไม่ได้ทำให้ผมรำคาญ และสิ่งที่ผมตอบก็ไม่ได้ไปถีบหน้าใคร สบายใจทุกฝ่าย

 

เรื่องเงินเดือนเหมือนกันครับ จะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นหรือความเป็นห่วงว่าเราจะมีกินไหมก็ตาม เรื่องนี้เราไม่จำเป็นต้องระบุตัวเลข เพราะคนถามไม่ได้ถามเอาความ ไม่ใช่สรรพากรนี่นะ ฮ่าๆ เป็นผม ผมจะตอบว่า “มีพอกินพอใช้ ดูแลตัวเองได้เลยครับ ไม่ต้องห่วง” หรือตอบติดตลกไป “ไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ เดี๋ยวนี้ไม่เคยต้องขอพ่อแม่เลย แต่ถ้าคุณอาจะให้ ผมก็ยินดีรับนะครับ” ฯลฯ ที่ผมใส่คำว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง” เข้าไปทุกครั้งก็เพราะว่า ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนถามถามเพราะอะไร ถ้าเขาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น คำว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง” มันช่วยเบรกเขาได้ว่า “ไม่ใช่ธุระ” ได้ ขณะเดียวกันถ้าเขาถามเพราะเป็นห่วงจริงๆ เราก็อยากบอกเขาให้สบายใจว่าไม่ต้องเป็นห่วง เราดูแลตัวเองได้ ผมคิดว่าใช้วิธีการตอบที่มีมารยาท ใส่อารมณ์ขัน ใส่ความห่วงใยลงในนั้นน่าจะดีกว่าเราไปบอกเขาว่า ไม่ใช่เรื่อง! อย่าเจ๋อ!

 

ตอบคำถามแล้ว เราสามารถเปลี่ยนเรื่องได้เลยนะครับ สมมติเขาถามเรื่องเงินเดือนมาแล้วเราตอบไปแล้ว ชิงถามเขาแทนเลยครับว่า “คุณอาสุขภาพเป็นอย่างไรบ้างครับ แข็งแรงดีนะครับ” หรือ “ไม่เจอกันนาน ยังเท่เหมือนเดิมเลยนะครับเนี่ย” พลิกเกมไปเลยครับ ไม่ให้เขาเป็นฝ่ายไล่บี้เรา เราเอาความห่วงใยเข้าสู้ความสอดรู้สอดเห็นแทน แล้วคนแก่นะครับ ผมจะบอกความลับให้ฟัง ถามเขาไปเถอะครับเรื่องอดีตที่เขาภูมิใจ ให้เขาได้เล่า เขาจะได้ไม่มายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเราแล้ว เช่นเดียวกัน เราก็ได้รู้เรื่องดีๆ ของเขาไปด้วย ผมว่าวิธีนี้ดีนะ เช่น ผมจะเมนชันเรื่องรูปเก่าๆ ในอัลบั้มรูปที่ผมเห็นเขาตอนหนุ่มๆ สาวๆ แล้วให้เขาเล่าให้ฟังเรื่องอดีต ทำอย่างไรก็ได้ให้เขารู้สึกว่า ดูสิ เขาเห็นเราตั้งแต่แบเบาะนะ โตมาก็ยังน่าเอ็นดูเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่า โห…ตอนเด็กมันน่ารักมากนะ โตมามันมาพูดจาถอนหงอกผู้ใหญ่ ไม่น่ารักเลย ฮ่าๆ

 

ส่วนเรื่องอวดลูกอวดหลาน ผมคิดว่าให้เป็นความสบายใจของคนอวดแล้วกันครับ เขาก็ภูมิใจของเขา ลูกเขานี่นะ เขาก็คงอยากให้โลกรู้ อยากให้คนภูมิใจไปกับเขาด้วย เพราะฉะนั้นปล่อยเขาโม้เลยครับ อยากเล่าอะไร ว่ามา! เราให้เขามีความสุขหน่อยเถอะ ต้องอย่าลืมนะครับว่าผู้ใหญ่บางคนชีวิตหลังเกษียณเขาไม่ได้ทำอะไรแล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็ใช้ชีวิตผ่านลูกนี่แหละ เขาก็เอาชีวิตลูกมาเล่าให้คนอื่นฟังเป็นความภูมิใจของเขานี่แหละ ปล่อยเขาครับ ให้เขามีความสุข อะไรที่ไม่รื่นหูเราก็ปล่อยไป อย่าเก็บมาดูถูกตัวเอง เราต่างคนต่างมีความภูมิใจของตัวเองที่ต่างกัน

 

ผมเข้าใจนะครับว่าบางทีญาติบางคนก็เหมือนคนแปลกหน้าของเรา แต่ดันต้องมาสัมพันธ์กัน บางคนก็อาจจะไม่น่ารักกับเราเลย แต่อย่าลืมว่าตรงนั้นมีพ่อแม่เราอยู่ ทำอะไรก็เห็นแก่หน้าพ่อแม่เราดีกว่าครับ เหมือนเดิมครับ ถ้าใครทำไม่ดีกับเรา นั่นเป็นเรื่องของเขา แปลว่าเขาทำตัวเองไม่ดี แต่ถ้าเขาทำไม่ดีกับเราแล้วเราทำไม่ดีตอบ นั่นแหละปัญหาของเรา แปลว่าเราก็ทำตัวไม่ดีเหมือนกัน

 

ผมคิดว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้กับญาติผู้ใหญ่อย่างเดียวนะครับ ในชีวิตเรา เราอาจจะไปเจอคนที่ถามอะไรที่ไม่เข้าหูเรา ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุความอยากรู้อยากเห็นหรือความเป็นห่วงก็ตาม เราห้ามไม่ได้ที่จะไม่ให้คนถาม แต่เรามีวิธีตอบคำถามได้แบบที่แยกย้ายกันไปก็ไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกกัน คิดแบบนี้แล้วเราจะไม่ทุกข์ และเราจะไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ครับ

 

ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

 

*ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising