ภูมิทัศน์สตาร์ทอัพของยุโรปกำลังร้อนระอุขึ้นอีกครั้งจากบทสนทนาที่เผ็ดร้อนในโลกออนไลน์ เมื่อนักลงทุนร่วมลงทุน (Venture Capitalists: VCs) บางส่วนเริ่มออกมาเรียกร้องและกดดันให้ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ (Founders) หันมายอมรับวัฒนธรรมการทำงานล่วงเวลาอย่างหนักหน่วง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกกับยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ประเด็นดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดคำถามสำคัญว่า การนำวัฒนธรรม ‘996’ คือ ทำงาน 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม และ 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Alibaba และ TikTok มาปรับใช้ จะเป็นคำตอบที่ถูกต้องสำหรับระบบนิเวศของยุโรปจริงหรือ? หรือเป็นเพียง ‘การหลงใหลในการทำงานหนักเกินไป’ ที่อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดีในระยะยาว
ทำไมยุโรปต้องทำงานหนักขึ้น? เสียงเรียกร้องจากฝั่งนักลงทุน
ต้นตอของประเด็นนี้ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อที่ฝังรากลึกว่า วงการเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพของยุโรปยังคงล้าหลังสหรัฐฯ และจีน ซึ่งต่างสร้างบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกขึ้นมาได้และมีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมการทำงานที่เข้มข้น
เซบาสเตียน เบ็คเกอร์ หุ้นส่วนของบริษัท VC ในสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Redalpine ได้ร่วมจุดประเด็นใน LinkedIn โดยแสดงความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเยอรมนีที่เสนอให้ยกเลิกเพดานการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน (แต่ยังคงสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยเบ็คเกอร์แย้งว่าข้อเสนอนั้นยังไม่เพียงพอ
“การทำงานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงมันไม่พอหรอก ในซิลิคอนแวลลีย์ การทำงาน 60-70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ไม่ใช่ข้อยกเว้น เราอาจมีคนฉลาดและมีความทะเยอทะยานเท่ากัน แต่ถ้าเราถูกเอาชนะด้วยชั่วโมงการทำงานที่มากกว่าอย่างต่อเนื่อง เราก็จะไม่มีวันชนะ”
ขณะที่ มาร์ติน มิโยต์ พาร์ตเนอร์ของ Index Ventures ในลอนดอน อธิบายว่า วัฒนธรรม 996 ที่มีต้นกำเนิดในจีน ได้ “กลายเป็นบรรทัดฐานอย่างเงียบๆ” ในหมู่สตาร์ทอัพทั่วโลกไปแล้ว
เสียงคัดค้านจาก Founders และ VCs ‘ทำงานฉลาด ไม่ใช่ทำงานหนัก’
อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องให้ยุโรปหันมาทำงานหนักขึ้นได้จุดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง CNBC ได้พูดคุยกับผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพและ VCs ในยุโรป 7 ราย ถึงเหตุผลที่พวกเขาไม่เห็นด้วย
- มันคือ ‘การหลงใหลในความเหนื่อยยาก’ ไม่ใช่การทำงานอย่างชาญฉลาด: สุรังกา จันทรติลเลกี จาก Balderton Capital มองว่า มุมมองที่ว่ายุโรปล้าหลังนั้นเป็นเรื่อง “ล้าสมัย” เพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยุโรปสามารถสร้างบริษัทระดับ Deca-corn (มูลค่าเกิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์) ได้มากมาย เช่น Klarna, Revolut และ Wise เขามองว่าแนวคิดนี้เป็น “การหลงใหลในการทำงานหนักเกินไป มากกว่าการทำงานอย่างชาญฉลาด มันเป็นแค่เรื่องเล่าปรัมปรา” และชี้ว่าแม้ในซิลิคอนแวลลีย์จะมีช่วงเวลาทำงานหนัก แต่ก็มีช่วงเวลาที่พวกเขาได้พักผ่อนเช่นกัน
- วัฒนธรรมทำงานหนักมี ‘ผลเสียที่คาดไม่ถึง’: นิน่า โมฮันตี ผู้ก่อตั้ง Bloom Money ในลอนดอน ยกตัวอย่าง Revolut ฟินเทคชื่อดังว่า “วัฒนธรรมของพวกเขาน่าจะใกล้เคียงกับวัฒนธรรม 996 มากที่สุดที่เราเคยเห็นในยุโรป และพวกเขาก็ต้องดิ้นรนอย่างหนัก” เธอกล่าว “อัตราการลาออกของพนักงานสูงอย่างไม่น่าเชื่อ และพวกเขายังเคยประสบปัญหาในการขอใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคาร ซึ่งวัฒนธรรมองค์กรก็ถูกอ้างถึงว่าเป็นหนึ่งในเหตุผลนั้น”
- ขัดต่อค่านิยมและกฎระเบียบของยุโรป: โนอา คามาลลาห์ จาก Don’t Quit Ventures ชี้ว่า “ไม่มีความจำเป็นต้องมี 996” และค่านิยมเหล่านี้ขัดแย้งกับทั้งแนวคิดและกฎระเบียบของยุโรป “บริษัทที่ประสบความสำเร็จที่สุดของยุโรป ตั้งแต่ Spotify ถึง SAP และ ASML ไม่ได้ครองตลาดด้วยการทำงานหนักเกินไป แต่ด้วยวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมที่ยั่งยืน” เขาชี้ว่าแนวคิด ‘เคลื่อนที่เร็วและทำลายสิ่งต่างๆ’ (Move Fast and Break Things) ของซิลิคอนแวลลีย์ มักจะมาชนกับกำแพงค่านิยมของยุโรปในเรื่องสิทธิแรงงาน ความเป็นส่วนตัว และแนวปฏิบัติทางธุรกิจที่ยั่งยืน
- ทำลายคนเก่งและผลักไส Gen Z: ซาราห์ แวร์เนอร์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Husmus กล่าวว่า “การทำงานหนักเกินไปในวันนี้คือวิกฤตผลิตภาพในวันพรุ่งนี้” และเสริมอย่างน่าสนใจว่า “โดยส่วนตัวแล้ว ฉันหวังว่าคู่แข่งของฉันจะใช้ระบบ 996 มันทำให้การดึงตัวคนเก่งๆ ง่ายขึ้นเยอะเลย เมื่อพวกเขาตัดสินใจว่าทนไม่ไหวแล้ว”
ขณะที่ แจส เชมบรี-สโตธาร์ต ผู้ก่อตั้ง Luna ชี้ว่าวัฒนธรรม 996 จะผลักไสคนเก่งรุ่นใหม่ออกจากสตาร์ทอัพยุโรป “โดยเฉพาะกับ Gen Z และกลุ่มมิลเลนเนียลรุ่นเล็ก พวกเขามีความอดทนต่อวัฒนธรรมการทำงานที่บ้าคลั่งและเป็นพิษ (Toxic Hustle Cultures) น้อยกว่ามาก”
ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ ‘ความอึด’ แต่คือ ‘เงินทุน’
ผู้ก่อตั้งหลายรายยืนยันว่า แทนที่จะเพิ่มชั่วโมงการทำงาน สิ่งที่สตาร์ทอัพยุโรปต้องการจริงๆ คือเงินทุนและทรัพยากรที่มากขึ้นเพื่อแข่งขันในเวทีโลก
“สิ่งที่ยุโรปต้องการจริงๆ ไม่ใช่การยกย่องความเหนื่อยยาก (Hustle-porn) แต่คือเงินทุนที่ดุดันกว่านี้” แวร์เนอร์กล่าว “ด้วยเงินทุนในระดับที่เหมาะสม สตาร์ทอัพของเราสามารถจ้างคนเก่งๆ ได้มากพอที่จะทำงานอย่างเข้มข้นโดยไม่ทำให้ตัวเองพัง ถ้าทีม 10 คนกำลังจะหมดไฟเพื่อพยายามไล่ตามสตาร์ทอัพที่มีคน 50 คนซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก VC อเมริกันหรือรัฐบาลจีน ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความอึดของพวกเขา แต่อยู่ที่ตารางทุน (Cap Table) ของพวกเขาต่างหาก”
ข้อมูลจากรายงาน State of European Tech ของ Atomico ในปี 2024 สนับสนุนประเด็นนี้ โดยชี้ว่าตั้งแต่ปี 2015 สตาร์ทอัพเทคโนโลยีของยุโรปพลาดเงินทุนในระดับ Growth-Stage ไปเกือบ 3.75 แสนล้านดอลลาร์ และ 1 ใน 2 ของบริษัทที่ระดมทุนต้องหันไปพึ่งพานักลงทุนจากสหรัฐฯ
สมดุลของชีวิตสตาร์ทอัพ การทำงานหนักมี ‘ฤดูกาล’ ของมัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่ยอมรับว่าชีวิตสตาร์ทอัพนั้นต้องการความทุ่มเทอย่างหนักหน่วง แต่ภาพที่แท้จริงนั้นซับซ้อนกว่าการบังคับใช้ระบบ 996
ทิโมธี อาร์มู ผู้ร่วมก่อตั้ง Fanbytes ซึ่งขายบริษัทของเขาไปในราคา 8 หลักเมื่อปี 2022 ยอมรับว่าเป็น ‘ผู้สนับสนุนตัวยง’ ของการทำงานหนัก แต่ย้ำว่า “จังหวะเวลาคือสิ่งสำคัญ ผมคิดว่ามันมีฤดูกาลของมัน แต่ผมก็คิดว่าถ้าคุณเป็นผู้ก่อตั้งครั้งแรก หรือถ้าเป้าหมายหลักของคุณคือการสร้างความมั่งคั่ง หากนี่คือฤดูกาลของคุณแล้วคุณกลับถอย คุณก็ไม่ได้จริงจังกับมัน”
นิน่า โมฮันตี เสริมว่า ทีมงานในระยะเริ่มต้นมักจะทำงานแบบ 996 โดยไม่รู้ตัว เพราะต้องดิ้นรนให้หนักกว่าด้วยทรัพยากรที่น้อยกว่า แต่ แจส เชมบรี-สโตธาร์ต ขีดเส้นแบ่งชัดเจนว่า “มันเป็นทางเลือกของฉันที่จะทำงานในวันหยุด แต่ฉันไม่เคยคาดหวังสิ่งนั้นจากทีมของฉัน การผลักดันทีมของคุณไปจนถึงจุดแตกหักไม่ใช่เรื่องน่าเชิดชูแน่นอน”
ท้ายที่สุด การถกเถียงเรื่อง 996 สะท้อนให้เห็นว่า เส้นทางสู่ความสำเร็จของสตาร์ทอัพยุโรป อาจไม่ได้อยู่ที่การลอกเลียนแบบวัฒนธรรมการทำงานหนักจากที่อื่น แต่เป็นการสร้างเส้นทางของตนเองที่สมดุลระหว่างนวัตกรรมที่ยั่งยืน การเคารพในคุณภาพชีวิตของพนักงาน และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่แข็งแกร่งพอที่จะสนับสนุนให้พวกเขาสามารถแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพบนเวทีโลก
อ้างอิง: