×

บียาร์เรอัลสร้างตำนานคว้าแชมป์ยูโรปาลีก หลังเฉือนแมนฯ ยูไนเต็ด ในการดวลจุดโทษสุดเดือด 11-10

27.05.2021
  • LOADING...
บียาร์เรอัล

บียาร์เรอัลเดินทางมาจากสเปนด้วยความหวังและกลับไปอย่างวีรบุรุษ เมื่อสร้างประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ให้แก่เมืองเล็กๆ โดยการเอาชนะยักษ์ใหญ่อย่าง ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงได้ในศึกยูฟ่ายูโรปาลีกรอบชิงชนะเลิศ ที่ต้องวัดกันถึงการดวลจุดโทษซึ่งไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่ ดาบิด เด เคอา ซึ่งต้องยิงเป็นคนสุดท้าย จะยิงไปติดเซฟของ เคโรนิโม รูยี และทำให้เหล่า ‘เรือดำน้ำเหลือง’ คว้าแชมป์รายการแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้สำเร็จ

 

การพบกันที่นำไปสู่บทสรุปสุดดราม่านั้นเกิดขึ้นที่สนามตาดิโอน เอแนร์กี ในเมืองกดังสก์ ประเทศโปแลนด์ อีกครั้ง หลังจากที่ถูกยกเลิกไปในฤดูกาลที่แล้วเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ต้องย้ายไปจัดกันที่ประเทศเยอรมนีแทน แต่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ทำให้เมืองริมทะเลบอลติกที่มีบรรยากาศสวยงามและเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญได้กลับมารับหน้าที่อีกครั้ง

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลรายการใดเลยในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้สัมผัสกับเกียรติยศก็คือการคว้าแชมป์ในรายการนี้ ซึ่งเป็นความสำเร็จเพียงหนึ่งเดียวของ โชเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ที่ตัดสินใจยอมเดิมพันไม่ให้ความสำคัญกับพรีเมียร์ลีกและมาเน้นกับการคว้าแชมป์รายการนี้ และทำได้สำเร็จด้วยการสยบอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 2-0 ทำให้ได้สิทธิ์ไปเล่นรายการยูฟ่าแชมเปียนส์​ลีกในฤดูกาลต่อมา

 

ครั้งนี้แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 20 สมัย ไม่จำเป็นต้องเดิมพันแบบนั้นอีก เมื่อ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ สามารถพาทีมจบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งในถ้วยใบใหญ่ของยุโรป ดังนั้นความสำคัญสำหรับเกมนี้คือการคว้าแชมป์เพื่อเกียรติยศและเพื่อเป็นการส่งสัญญาณเริ่มต้นสู่ยุคใหม่ที่จะกลับมาไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้ง

 

สิ่งที่น่าสนใจคือเกมนี้มีขึ้นในวันที่ 26 พฤษภาคม วันเดียวกับวันคล้ายวันเกิดของ เซอร์แมตต์ บัสบี ตำนานผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเป็นวันเดียวกับที่พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์มหัศจรรย์ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ในปี 1999 เป็น ‘เทรเบิลแชมป์’ หรือการกวาดแชมป์ 3 รายการใหญ่ในฤดูกาลเดียว โดยผู้ที่เป็นฮีโร่ทำประตูชัยในวันนั้นคือ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้จัดการทีมในวันนี้ ขณะที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่วันนั้น ได้เดินทางร่วมกับทีมเพื่อมาเป็นขวัญและกำลังใจด้วย

 

บียาร์เรอัลนั้นตรงข้าม พวกเขาไม่เคยเข้าชิงฟุตบอลถ้วยรายการยุโรปมาก่อน พวกเขาทำได้ใกล้เคียงที่สุดคือการเข้ารอบรองชนะเลิศในแชมเปียนส์ลีก 1 ครั้ง (2006) ในยุคที่นำมาโดยยอดตัวทำเกมอย่าง ฮวน โรมัน ริเกลเม และในรายการถ้วยใบเล็กอย่างยูฟ่าคัพและยูโรปาลีกอีก 3 ครั้ง (2004, 2011 และ 2016) การเข้าชิงชนะเลิศครั้งนี้จึงเป็นโอกาสครั้งแรกของสโมสรที่ตั้งอยู่ในเมืองที่มีประชากรเพียงแค่ 50,000 คน มีสนามฟุตบอลที่มีความจุแค่ 25,000 คนเท่านั้น

 

แต่ถึงทุกอย่างจะด้อยกว่า แต่แฟนบอลของทีม El Submarino Amarillo หรือ ‘เรือดำน้ำเหลือง’ ซึ่งมีที่มาง่ายๆ แค่พวกเขาเป็นทีมเล็กๆ ทีมหนึ่งในสเปนเมื่อเทียบกับยักษ์ใหญ่ และไม่อาจเทียบได้กับบาเลนเซีย ทีมร่วมแคว้น ก็สร้างสีสันให้กับกดังสก์เมืองริมชายทะเลของโปแลนด์ให้สดใส และยืนยันความตั้งใจว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างลงไปในเกมนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และจะไม่เสียใจเลยไม่ผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม

 

นักเตะบียาร์เรอัลก็ทำเช่นนั้น พวกเขาทุ่มเทตั้งแต่แรก แม้ศักยภาพของผู้เล่นจะเป็นรองก็ตาม แต่ก็อาศัยความตั้งใจ วินัย และฝีเท้าที่ถูกขัดเกลามาอย่างแหลมคม โดย อูไน เอเมรี โค้ชที่ชำนาญการกับรายการนี้มากที่สุด โดยเอเมรีเข้าชิงชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งที่ 5 ของชีวิต และเคยคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 3 ครั้งติดต่อกันในช่วงปี 2014-2016 

 

หัวใจสำคัญในการเล่นเกมนี้ของขุนพลเรือดำน้ำเหลืองคือเกมรับที่แข็งแกร่ง ซึ่งนำมาโดย เปา ตอร์เรส ปราการหลังดาวเด่นที่หลายทีมใหญ่ให้ความสนใจ โดยจับคู่กับ ราอูล อัลบิโอล ปราการหลังมากประสบการณ์ รวมถึง ฮวน ฟอยต์ กองหลังทีมชาติอาร์เจนตินาที่ยืมตัวมาจากท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่วันนี้ลงประจำการในตำแหน่งแบ็กขวา และต้องรับมือกับเกมรุกทางซ้ายที่อันตรายของ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ ลุค ชอว์ ตลอดเวลา

 

แต่เกมรับของบียาร์เรอัลไม่ได้เล่นแค่แนวรับ 4 คน ทีมจากสเปนช่วยกันเล่นทั้ง 11 คน และทำให้สามารถตรึงกำลังต้านเกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ด ได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งๆ ที่เกมนี้โซลชาร์ตัดสินใจเดิมพันเพิ่มออปชันในเกมรุก โดยใส่ เมสัน กรีนวูด ลงมาสร้างความอันตรายทางฝั่งขวาร่วมกับ เอดินสัน คาวานี, แรชฟอร์ด รวมถึง บรูโน แฟร์นันด์ส และถอย พอล ป็อกบา มายืนคู่กลางกับ สกอตต์ แมคโทมิเนย์ แทนที่ เฟร็ด ซึ่งโดนดร็อปไป แต่โอกาสในการลุ้นทำประตูนั้นแทบมองหาไม่เห็น

 

แย่กว่านั้นคือการเสียประตูให้คู่แข่งก่อนดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของแมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้ว เมื่อบียาร์เรอัลซึ่งไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าโอกาสสักครั้งที่จะทำให้พวกเขาชิงความได้เปรียบได้ และโอกาสนั้นก็มาถึงจริงๆ ในนาทีที่ 29 จากจังหวะลูกฟรีคิกระยะไกลกว่า 40 หลา ดาเนียล ปาเรโฆ มิดฟิลด์ห้องเครื่องคนสำคัญ เปิดได้น้ำหนักมาที่เสาไกลบอลมาถึง เคราร์ด โมเรโน กองหน้าตัวเก่งที่สลัดการประกบของ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ก่อนจะยิงผ่าน ดาบิด เด เคอา เข้าไปให้บียาร์เรอัลขึ้นนำไปก่อน 1-0 และสามารถรักษาสกอร์นำเอาไว้ได้จนครบครึ่งเวลาแรก

 

สิ่งที่น่าสนใจคือแมนฯ ยูไนเต็ด แม้จะครองบอลมากกว่า (67-37%) แต่โอกาสในการลุ้นทำประตูกลับน้อยกว่าในช่วงครึ่งเวลาแรก (4 ต่อ 5) นอกจากนี้พวกเขายังมีสถิติระยะทางการวิ่งที่น้อยกว่าด้วย (52.64 ต่อ 49.35 กิโลเมตร) 

 

โซลชาร์เองไม่พอใจกับฟอร์มการเล่นของลูกทีมเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขามีสถิติที่น่าเหลือเชื่อกับการเป็นฝ่ายตามหลังก่อนจะแซงกลับมาชนะได้มากถึง 12 ครั้งในฤดูกาลนี้ คำถามที่สำคัญที่สุดในเวลานั้นคือจะมีครั้งที่ 13 หรือไม่ และพวกเขาเหลือเวลาอีกเพียง 45 นาทีที่จะทำให้ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ดีอย่างแท้จริง

 

และดูเหมือนทีมชุดนี้จะเป็นผู้ชำนาญการในด้านการไล่ล่าคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อมีนักเตะอย่าง คาวานี ศูนย์หน้านักล่าตัวจริงอยู่ในทีม เมื่อลูกยิงของ บรูโน แฟร์นันด์ส ไปติดบล็อก ก่อนแฉลบมาเข้าทางดาวยิงอุรุกวัยก่อนที่ ‘เอล มาทาดอร์’ จะส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายให้สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1 ในนาทีที่ 55 แต่กระแสลมของเกมทำท่าจะเริ่มเปลี่ยนทิศ

 

ปัญหาของบียาร์เรอัลคือพวกเขาเริ่มถอยลงมารับลึกมากเกินไปและเสียบอลง่ายเกินไปตั้งแต่ช่วงปลายครึ่งแรก ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด เร่งจังหวะขึ้น ซึ่งก่อนหน้าจะได้ประตูตีเสมอก็มีจังหวะที่ อัลฟอนโซ เปดราซา หวดบอลไปโดนกรีนวูดล้มในเขตโทษแต่ VAR ปฏิเสธการให้จุดโทษไปก่อนแล้ว และหลังจากเสียประตูก็มีจังหวะเกือบเสียจุดโทษอีก เมื่อลูกเปิดไปติดแขน เปา ตอร์เรส

 

ฟรานซิส ก็อกเกอแลง กองกลางตัวทำลายเกมชาวฝรั่งเศสถูกส่งลงมาแทน คาร์ลอส บัคกา แม้ว่าศูนย์หน้าจอมเก๋าชาวโคลอมเบีย จะถือว่าเล่นได้ดีก็ตาม โดยหน้าที่ของอดีตมิดฟิลด์อาร์เซนอลคือการลงมาช่วยเพิ่มจำนวนผู้เล่นในแดนกลางของบียาร์เรอัลที่เริ่มตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด หลังแมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มตื่นตัวและคึกคักกว่าในช่วงครึ่งแรกมาก

 

คนที่อันตรายที่สุดในเกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ด ยังเป็นคาวานี ซึ่งขอให้อยู่ในกรอบเขตโทษก็สามารถเล่นได้ทุกรูปแบบ แม้แต่ลูกที่ ลุค ชอว์ พยายามยิงด้วยขวาในเขตโทษแต่ผิดเหลี่ยม ก็ยังทะยานขึ้นโขกได้ แต่ เปา ตอร์เรส ก็โหม่งสกัดได้เช่นกัน แม้ว่าบอลมันจะมาตรงหน้าก็ตาม

เมื่อเข้าสู่ช่วง 13 นาทีสุดท้ายของเกม เอเมรียังแก้เกมอยู่คนเดียว โดยส่ง ปาโก อัลกาแซร์ กองหน้าลงมาเติมเกมรุก โดยลงมาแทน เยเรมี ปิโน และ มอย โกเมซ ลงมาแทน มานู ตริเกรอส ก่อนจะเติมนักเตะอีกครั้งในช่วงก่อนหมดเวลา 3 นาที โดยส่ง อัลแบร์โต โมเรโน ลงมาแทนเปดราซา และ มาริโอ กาสปาร์ แทนฟอยต์ที่เริ่มหมดแรงหลังสู้อย่างหนักตลอดทั้งเกม เป็นการใช้ตัวสำรองครบทั้ง 5 คน โดยที่แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่เปลี่ยนผู้เล่นแม้แต่คนเดียว 

 

เพียงแต่ที่สุดแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการหยุดเกมรุกทุกรูปแบบให้ได้ เพื่อรอความหวังจากลูกเซ็ตเพลย์หรือโอกาสสวนกลับสักครั้ง ซึ่งโอกาสนั้นมาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 2 จากจุดเริ่มต้นลูกฟรีคิกระยะไกลที่มาจบด้วยโอกาสลองง้างในกรอบ 18 หลาของ เปา ตอร์เรส แต่ข้ามคานออกไปไกล และเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเกมในช่วงเวลาปกติ ซึ่งจบลงด้วยการเสมอ 1-1 และต้องเล่นต่อเวลาพิเศษกันอีก 30 นาที โดยคราวนี้ไม่มีฮีโร่ทำประตูท้ายเกมเหมือนโซลชาร์ในนัดชิงแชมเปียนส์ลีกเมื่อ 22 ปีก่อนแต่อย่างใด

 

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือในช่วง 15 นาทีแรกของการต่อเวลา แมนฯ ยูไนเต็ด กลับเหมือนอินเทอร์เน็ตที่ถูกจำกัดความเร็ว จากที่เล่นอย่างดุดันกลับปล่อยให้บียาร์เรอัลที่เป็นรองทั้งเกมครองเกมและเปิดเกมบุกเข้าใส่อยู่ข้างเดียว และมีโอกาสในการลุ้นประตูอยู่หลายครั้ง เพียงแต่ยังไม่จะแจ้งมากพอ

 

อีกทั้งการเปลี่ยนตัวคนแรกจากโซลชาร์คือการส่งเฟร็ดลงมาแทน เมสัน กรีนวูด ทั้งที่มีตัวรุกความเร็วสูงอย่าง ดาเนียล เจมส์ อยู่ข้างสนาม แต่การส่งกองกลางชาวบราซิลลงมานั้นเพื่อปรับแท็กติกใหม่ โดยขยับเอาแมคโทมิเนย์ซึ่งทุ่มเทและเล่นได้น่าประทับใจมาโดยตลอด ไปเติมเกมทางกราบขวาแทน 

 

VAR มีบทบาทสำคัญอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของการต่อเวลา เมื่อลูกยิงของ เคราร์ด​ โมเรโน ไปติดมือของเฟร็ด แต่แมนฯ ยูไนเต็ด รอดตัวไปอย่างหวุดหวิดในจังหวะนี้ ก่อนที่เจมส์จะถูกส่งลงสนามมาแทนป็อกบา และ อักเซล ตวนเซเบ จะได้โอกาสลงมาแทน เอริค ไบยี และไพ่ 2 ใบสุดท้ายที่โซลชาร์ส่งลงสนามมาคือ ฆวน มาตา และ อเล็กซ์ เตลเลส ที่มาแทนแมคโทมิเนย์และ อารอน วาน-บิสซากา ขณะที่เอเมรีเลือกส่งตัวสำรองรายที่ 6 โควตาพิเศษของช่วงการต่อเวลาคือ ดานี ราบา เพื่อช่วงของการดวลจุดโทษ

 

สุดท้ายสกอร์ยังคงเหมือนเดิมเมื่อจบครบทั้ง 30 นาทีของการต่อเวลา สิ่งที่จะตัดสินคือการดวลจุดโทษ โดย ราอูล อัลบิโอล เสี่ยงทายชนะครั้งแรก ขอเลือกประตูฝั่งที่มีกองเชียร์ของตัวเองอยู่ด้านหลัง จากนั้น บรูโน แฟร์นันด์ส ผู้สวมปลอกแขนกัปตันปีศาจแดง เสี่ยงทายชนะบ้าง แต่ขอให้บียาร์เรอัลเป็นฝ่ายยิงก่อน

 

เคราร์ด โมเรโน ผู้ทำประตูแรกของเกม รับหน้าที่มือสังหารคนแรก และไม่พลาด เช่นกันกับ ฆวน มาตา ที่ไม่พลาด ก่อนที่ ดานี ราบา และ อเล็กซ์ เตลเลส สองตัวสำรองที่ถูกส่งลงมาเพื่อยิงจุดโทษจะทำหน้าที่ไม่มีผิดเพี้ยน

 

คนที่ 3 ของบียาร์เรอัลคือ ปาโก อัลกาแซร์ ซึ่งเด เคอา พุ่งถูกทางแต่ปัดออกมาไม่ได้ ขณะที่คนที่ 3 ของแมนฯ ยูไนเต็ด คือ บรูโน แฟร์นันด์ส ที่เลือกยิงแบบธรรมดามากกว่าใช้ท่าประจำตัว และยิงเข้าไป แม้ว่าจะติดปลายมือของรูยีก็ตาม

 

อัลแบร์โต โมเรโน ผู้เคยได้แชมป์กับเซบียามาแล้วในปี 2014 ซึ่งเป็นการยิงจุดโทษเช่นกัน รับหน้าที่เป็นคนที่ 4 ของเรือดำน้ำสีเหลือง และยิงไม่พลาด แต่แรชฟอร์ดก็ยิงตีเสมอให้เป็น 4-4 สำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด 

 

คนที่ 5 สำหรับทั้งสองทีมคือ ดานี ปาเรโฆ และคาวานี ซึ่งเป็นผู้เล่นประสบการณ์สูงไม่พลาดด้วยกันทั้งคู่ ทำให้เมื่อเสมอกัน 5-5 ต้องยิงต่อในช่วงซัดเดนเดธ ใครพลาดแพ้ทันที ซึ่ง มอย โกเมซ ยิงก่อนไม่พลาดให้บียาร์เรอัลได้เปรียบ แต่เฟร็ดก็ยิงให้เสมอกันได้

 

จากนั้นทั้งสองทีมต่างยังคงยิงไม่พลาดจาก ราอูล อัลบิโอล และ ดาเนียล เจมส์ มาถึงก็อกเกอแลงและ ลุค ชอว์ ซึ่งยิงไปเกือบติดเซฟของรูยี ก่อนจะเป็น มาริโอ กาสปาร์ และ อักเซล ตวนเซเบ และ เปา ตอร์เรส กับ วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ยิงกันไม่พลาดเลย

 

นั่นทำให้ผู้รักษาประตูต้องทำหน้าที่ในการยิงจุดโทษด้วย และนี่คือจุดตัดสินของเกม เมื่อรูยียิงเข้า แต่เด เคอา ยิงไปติดเซฟของรูยี ทำให้บียาร์เรอัลชนะในการดวลจุดโทษ 11-10 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที 1-1 คว้าแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งเป็นแชมป์รายการสโมสรยุโรปรายการแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรไปครอง และได้สิทธิ์เข้าแข่งรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฐานะแชมป์ยูโรปาลีกด้วย

 

นี่คือคืนมหัศจรรย์ที่จะถูกบันทึกเอาไว้ในหัวใจของเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรรวมกันเพียงแค่ 50,000 คน แต่สามารถพิชิตยุโรปได้สำเร็จ โดยเฉพาะ 2,500 คนที่เดินทางมาถึงกดังสก์ในวันนี้ พวกเขาจะมีเรื่องราวไว้เล่าให้ลูกหลานฟังอีกยาวนาน

 

และแน่นอน หนึ่งในนิทานลูกหนังที่จะถูกเล่าคือเรื่องราวของ อูไน เอเมรี ราชาถ้วยใบเล็กของยุโรปกับการคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ของตัวเอง และนำสโมสรแห่งนี้มาสู่ดินแดนแห่งความฝันได้ในที่สุด

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising