นิน่า เซียง ผู้จัดการทั่วไปที่ TH Capital บริษัทให้คำปรึกษาด้านการลงทุนและการจัดการสินทรัพย์ ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านบทความใน Nikkei Asia ถึงสิ่งที่สหรัฐฯ ควรเรียนรู้จาก ‘ความล้มเหลว’ ในการพยายามล้ม Huawei
เธอเริ่มต้นบทความด้วยการระบุว่า การกลับมาของ Huawei Technologies ในตลาดสมาร์ทโฟนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาด้วยรุ่น 5G ที่แข่งขันกับ iPhone ของ Apple ได้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับนักการเมืองของสหรัฐฯ ที่คิดว่ามาตรการคว่ำบาตรของวอชิงตันต่อบริษัททำให้มันแทบไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้
ในปีนี้ Huawei ดูเหมือนจะยืนยันความสามารถของตนในการแข่งขันในตลาดโลกสำหรับสมาร์ทโฟน สมาร์ทดีไวซ์ และอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมอีกครั้ง นี่ควรเป็นช่วงเวลาของการตระหนักรู้สำหรับสหรัฐฯ ที่ว่า มาตรการคว่ำบาตรที่เข้มข้นขึ้นน่าจะหวังผลได้น้อยลงในแง่ของการทำให้ Huawei ถอยหลัง และต้องมองหาวิธีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรับมือสงครามเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
ปีนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Huawei สามารถจัดส่งโทรศัพท์ได้ถึง 100 ล้านเครื่อง ซึ่งยังคงทิ้งห่างจาก Apple และ Samsung Electronics หรือระดับสูงสุดของตัวเองที่เคยจัดส่งได้ถึง 240.6 ล้านเครื่องในปี 2019 แต่เป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่จาก 30.5 ล้านเครื่อง ที่จัดส่งในปี 2022 นอกจากนี้ ยังอาจทำให้ Huawei เป็น 1 ใน 5 แบรนด์โทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้ง
ธุรกิจอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมของ Huawei ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทยังคงอยู่ได้ดีภายใต้แรงกดดันของสหรัฐฯ โดยมีการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดโลกน้อยมากตั้งแต่ปี 2019
สิ่งนี้เป็นเพราะบทบาทผู้นำของ Huawei ในการสร้างเครือข่าย 5G ของจีน ตลาดในประเทศขนาดใหญ่ของบริษัทช่วยให้สามารถชดเชยการสูญเสียธุรกิจในตลาดที่สหรัฐฯ โน้มน้าวใจหน่วยงานให้จำกัดการปรากฏตัวของ Huawei เนื่องจากเป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น เช่น ในออสเตรเลีย
ด้วยธุรกิจอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมที่ยังคงมั่นคง ยอดขายโทรศัพท์ที่กลับมาฟื้นตัว และธุรกิจใหม่ๆ เช่น ระบบยานยนต์ที่เริ่มมีการเติบโต รายได้ของ Huawei เพิ่มขึ้น 9% เป็นมากกว่า 7 แสนนล้านหยวน หรือราว 3.5 ล้านล้านบาท ในปี 2023 กลับสู่ระดับที่เห็นครั้งสุดท้ายในปี 2020
ความสำเร็จนี้มีความหมายอย่างลึกซึ้งไม่เพียงแต่สำหรับ Huawei เท่านั้น แต่ยังบ่งบอกว่าบริษัทจีนกำลังหาวิธีเริ่มผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงในระดับที่แข่งขันได้ แม้จะมีความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะจำกัดการพัฒนาของอุตสาหกรรมนี้
ด้วยไมโครชิปที่ฝังอยู่ในรุ่น Mate 60 Pro ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงใหม่ของ Huawei ทาง Semiconductor Manufacturing International Corp. (SMIC) ผู้ผลิตชิปสัญญาหลักของจีน ได้แสดงศักยภาพในการผลิตชิปขั้นสูงที่ใช้งานได้จริงในปีที่แล้ว การที่ Huawei บรรลุเป้าหมายการจัดส่งโทรศัพท์อย่างน้อย 60 ล้านเครื่องในปีนี้ จะเป็นการทดสอบความตึงเครียดที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตชิปของจีนที่เริ่มมีความเป็นอิสระเพิ่มขึ้น
การฟื้นตัวของยอดขายโทรศัพท์กำลังเปิดโอกาสให้ HarmonyOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ Huawei พัฒนาขึ้นเอง มีศักยภาพที่จะแซงหน้า iOS ของ Apple เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้มากเป็นอันดับ 2 ในจีนในปีนี้ ตามหลังเพียง Android ของ Google เท่านั้น ตามที่นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์
จนถึงขณะนี้ Huawei ได้ดึงนักพัฒนาของแอปจีนยอดนิยมมากกว่า 200 แอปเข้าร่วมสำหรับเวอร์ชัน HarmonyOS แล้ว HarmonyOS กำลังถูกใช้งานอยู่บนอุปกรณ์ประมาณ 800 ล้านเครื่อง รวมถึงแท็บเล็ตและแล็ปท็อป
นี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่ยากที่จะจินตนาการถึง HarmonyOS ที่ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วโดยหน่วยงานราชการของจีนและองค์กรของรัฐ ซึ่งการยอมรับอาจเร่งขึ้นอีกหากจีนเผชิญกับการคว่ำบาตรที่เข้มงวดขึ้นจากวอชิงตัน หากห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศกลายเป็นอิสระ และอุปกรณ์ส่วนใหญ่ของจีนเริ่มทำงานบนระบบปฏิบัติการที่ผลิตในประเทศ กล่องเครื่องมือด้านเทคโนโลยีของวอชิงตันจะมีข้อจำกัดอย่างมาก
ทำไมมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ถึงไม่ได้ผลดังหวัง?
ลักษณะที่เป็นขั้นตอนของการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ทิ้งช่องโหว่ให้ Huawei สามารถเตรียมสต๊อกและเตรียมวัสดุอุปกรณ์ได้ นอกจากนี้ การผสานรวมกันหลายทศวรรษทำให้จีนสะสมความสามารถและความเชี่ยวชาญเพียงพอที่จะสร้างเทคโนโลยีที่พึ่งพาตนเองได้
นอกจากนี้ จีนยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านชิปจำนวนมาก รวมถึงยังมีผู้มีประสบการณ์ระดับสูงหลายคนในอุตสาหกรรมชิปที่มีประสบการณ์จากบริษัทอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต่างประเทศ เช่น TSMC, ผู้ผลิตอุปกรณ์ชาวดัตช์ ASML และผู้ผลิตซอฟต์แวร์ออกแบบอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ Synopsys และ Cadence ได้เข้าร่วมกับบริษัทจีนหรือก่อตั้งสตาร์ทอัพในประเทศ
ตราบใดที่บุคคลและความเชี่ยวชาญดังกล่าวสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ การบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จึงไม่ใช่เรื่องที่แดนมังกรต้องกังวลมากนัก
ด้วยเหตุนี้เองสหรัฐฯ ต้องพิจารณากลยุทธ์การคว่ำบาตรด้านเทคโนโลยีใหม่ โดยยอมรับข้อจำกัดของนโยบายดังกล่าวและผลกระทบที่เป็นอันตราย การไล่ตามมาตรการที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น การคว่ำบาตรต่อ Huawei ลดทอนตำแหน่งของวอชิงตันบนเวทีโลก
วิธีการที่มีประสิทธิผลมากขึ้นควรเน้นการเพิ่มการลงทุนในการวิจัยเพื่อรักษาความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และส่งเสริมนวัตกรรม ทางเลือกนี้ไม่เพียงแต่มีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สหรัฐฯ ได้รับความเคารพจากชาติอื่นๆ กลับคืนมาอีกด้วย
ภาพ: Costfoto / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง: