สหรัฐฯ ส่งทหารไปยังยุโรปเพิ่มเติม ท่ามกลางความตึงเครียดจากวิกฤตการณ์ยูเครน

วานนี้ (2 กุมภาพันธ์) โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสั่งเคลื่อนกำลังทางทหารอีกราว 2,000 นาย จากรัฐแคโรไลนาไปยังยุโรป โดยเฉพาะโปแลนด์และเยอรมนีเพิ่มเติม ขณะที่อีกราว 1,000 นายที่อยู่ที่เยอรมนีแล้ว จะเคลื่อนกำลังพลไปยังโรมาเนีย ท่ามกลางความตึงเครียดของวิกฤตการณ์ยูเครน

โดยทางการรัสเซียยังคงปฏิเสธแผนการที่จะรุกรานหรือโจมตีเพื่อนบ้านอย่างยูเครน และชี้แจ้งว่าการเคลื่อนกำลังทหารราว 1 แสนรายมาประชิดตามแนวพรมแดน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการฝึกซ้อมทางทหาร พร้อมระบุว่า การสั่งเคลื่อนกำลังพลมายังยุโรปเพิ่มเติม เพิ่มระดับความตึงเครียดขึ้น และจำกัดทางเลือกในวิกฤตการเมืองนี้ให้แคบลงยิ่งกว่าเดิม

อีกทั้งทางการรัสเซียยังระบุว่า รัฐบาลยูเครนล้มเหลวในการปฏิบัติตาม ‘ข้อตกลงมินสก์’ ที่มีขึ้นเพื่อนำสันติภาพกลับมาสู่ยุโรปตะวันออก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14,000 ราย นับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่รัสเซียผนวกแหลมไครเมียของยูเครน เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอย่างเป็นทางการ

โดยเพนตากอน หรือกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า กองทัพอเมริกันจะไม่สู้รบในยูเครน หากแต่เป็นหลักประกันว่า พันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรปจะปลอดภัยจากวิกฤตในครั้งนี้ อีกทั้งมีคำสั่งให้นายทหารในกองทัพราว 8,500 นาย เตรียมความพร้อมตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา หากมีความจำเป็นต้องเคลื่อนพลไปยังยุโรปเพิ่มเติม

ทางด้าน จอห์น เคอร์บี โฆษกเพนตากอนระบุ “มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราได้ส่งสัญญาญอย่างจริงจังไปถึงประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า พันธมิตร NATO มีความสำคัญมากต่อสหรัฐฯ มีความสำคัญมากต่อพันธมิตรของเรา”

ขณะที่ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร พึ่งต่อโทรศัพท์สายตรงพูดคุยกับประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย โดยระบุว่า “ประเทศยุโรปทุกประเทศที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย มีสิทธิที่จะฝันใฝ่และปรารถนาที่จะสมัครเป็นสมาชิกขององค์การ NATO” หลังจากที่ทางการรัสเซียเคยขอให้ชาติตะวันตกให้คำมั่นและหลักประกันแก่รัสเซียว่า จะไม่สร้างฐานทัพในประเทศอดีตสหภาพโซเวียต และไม่รับยูเครนที่เปรียบเสมือนหลังบ้านของรัสเซียเข้าเป็นสมาชิกของ NATO เพราะสิ่งนี้จะกระทบและสั่นคลอนต่อความมั่นคงของรัสเซียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทความที่เกี่ยวข้อง: