รายงานล่าสุดเผยว่า ปี 2022 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ชาวอเมริกันต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติใหญ่ถึง 18 ครั้งจากเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) ท่ามกลางปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐอเมริการะบุว่า พายุ น้ำท่วม ไฟป่า และภัยแล้ง สร้างความเสียหายในประเทศรวมมูลค่าสูงถึง 1.65 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งมากกว่าปี 2021 ถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นปีที่มีมูลค่าความเสียหายสูงเป็นอันดับ 3 นับตั้งแต่ที่มีการบันทึกสถิติมาในปี 1980 โดยมียอดผู้เสียชีวิตรวม 474 คนทั่วประเทศ
อดัม สมิธ นักภูมิอากาศวิทยาประยุกต์ จากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2022 เป็นภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดว่า ‘สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเจอกับปีที่มีภัยพิบัติจำนวนมาก’ เช่นนี้ต่อไปในอนาคต โดยนับตั้งแต่ปี 2016 เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วและภัยพิบัติได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 5,000 คน และสร้างความเสียหายมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
“เราเห็นแนวโน้มของภัยพิบัติที่มีผลมาจากโลกรวนเพิ่มมากขึ้น” สมิธกล่าว พร้อมระบุด้วยว่า สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับฤดูไฟป่าที่ยาวนานขึ้นและรุนแรงขึ้น รวมถึงเหตุการณ์ฝนตกหนัก และเฮอริเคนที่มีความรุนแรงระดับ 4 และ 5 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และดูไม่มีทีท่าว่าเทรนด์เหล่านี้จะลดลง ฉะนั้น สหรัฐฯ จึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตให้รัดกุมกว่าเดิม
แม้ในอดีตสหรัฐฯ จะเคยเจอกับภัยทางธรรมชาติต่างๆ อย่างน้ำท่วมและไฟป่ามาก่อนแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า ภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ภัยพิบัติเหล่านี้รุนแรงหนักกว่าเดิม โดยโลกของเรามีฝนตกหนักมากขึ้น เพราะอากาศที่อุ่นขึ้นจะทำให้น้ำระเหยมากขึ้นและอุ้มความชื้นไว้สูง ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกทำให้เฮอริเคนดูดรับความชื้นจากทะเลมากขึ้น เกิดลมแรงขึ้น ส่งผลให้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นด้วยในภาพรวม
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดชี้ให้เห็นตรงกันว่า ภาวะโลกรวนที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ได้ทำให้ภัยธรรมชาติเกิดรุนแรงขึ้นและอยู่ยาวนานขึ้นกว่าเดิม หากมนุษย์ทุกคนบนโลกไม่ร่วมมือกันลดการปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ก็คงมีสักวันหนึ่งที่ธรรมชาติจะเอาคืนพวกเราอย่างหนักหน่วง
แฟ้มภาพ: Paul Hennessy/SOPA Images/LightRocket via Getty Images
อ้างอิง:
