×

เลือกตั้งสหรัฐฯ 2020: ศึกชิงสภาล่าง สนามรบดุเดือดอยู่ที่ชานเมือง

12.10.2020
  • LOADING...
เลือกตั้งสหรัฐฯ 2020: ศึกชิงสภาล่าง สนามรบดุเดือดอยู่ที่ชานเมือง

HIGHLIGHTS

4 mins. read
  • สถานการณ์ในตอนนี้พรรครีพับลิกันครองที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรอยู่ 201 ที่นั่ง ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องช่วงชิงที่นั่งจากเดโมแครตมาให้ได้อย่างน้อย 17 ที่นั่ง เพื่อจะกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาล่าง 
  • แต่นักวิเคราะห์ทางการเมืองเห็นตรงกันว่าโอกาสที่พวกเขาจะทำสำเร็จยังมีค่อนข้างน้อย ตราบใดที่พวกเขายังช่วงชิงเก้าอี้ในเขตชานเมืองกลับมาไม่ได้
  • สาเหตุที่เดโมแครตกลับมาเอาชนะที่ย่านชานเมืองได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ทศวรรษเมื่อปี 2018 เป็นเพราะการเสื่อมความนิยมของผู้นำของพรรครีพับลิกันอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ โดยโพลบ่งชี้ว่า คนอเมริกันให้ทรัมป์สอบผ่านในการทำหน้าที่ประธานาธิบดีเพียง 40% ต้นๆ เท่านั้น
  • สมรภูมิน่าจับตาคือ ไอโอวา เขต 1, มินนิโซตา เขต 7 และนิวเม็กซิโก เขต 2 ซึ่งปีนี้รีพับลิกันมีโอกาสแย่งชิงเก้าอี้ในเขตชนบทที่เดโมแครตถือครองอยู่ เพราะทรัมป์ยังมีคะแนนนิยมสูงในกลุ่มชาวชนบทผิวขาว

สภาผู้แทนราษฎร หรือสภาล่าง เป็นหนึ่งในสองสภาของสภาคองเกรส (ควบคู่กับวุฒิสภา หรือสภาสูง) ซึ่งการครองเสียงข้างมากให้ได้ในทั้งสองสภามีความสำคัญอย่างมากต่อทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน เพราะการที่พรรคจะผ่านร่างกฎหมายเพื่อดำเนินนโยบายของพรรคให้ได้นั้น ร่างกฎหมายจำเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภา

นอกจากนี้สภาผู้แทนราษฎรยังเป็นสภาหลักที่มีอำนาจในการควบคุมงบประมาณแผ่นดิน (The Power of the Purse) เพื่ออนุมัติว่าหน่วยงานและโครงการใดจะได้งบประมาณจากรัฐบาลกลาง ดังนั้นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ในวันที่ 3 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเลือกประธานาธิบดี ซึ่งบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปสำรวจสนามเลือกตั้ง ส.ส. กัน

โครงสร้างของสภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกาประกอบด้วย ส.ส. ทั้งหมด 435 คน โดยที่แต่ละมลรัฐจะมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรไม่เท่ากัน กล่าวคือมลรัฐที่มีขนาดใหญ่ก็จะมีเก้าอี้ ส.ส. จำนวนมาก (เช่น แคลิฟอร์เนียมีถึง 53 ที่นั่ง) มลรัฐที่มีประชากรน้อยก็จะมีเก้าอี้ ส.ส. จำนวนน้อย (มลรัฐขนาดเล็กอย่างไวโอมิงและเวอร์มอนต์ มี ส.ส. แค่คนเดียว เป็นต้น) การจัดการเลือกตั้งเป็นไปในลักษณะเขตเดียวเบอร์เดียว และไม่มี ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ การโหวตในสภาผู้แทนราษฎรใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง (อย่างน้อย 218 เสียง) เพื่อผ่านร่างกฎหมายโดยที่ไม่มีกฎ Filibuster แบบของวุฒิสภา

ภูมิทัศน์ทางการเมืองของสภาล่าง
ตั้งแต่ยุคปี 90 เป็นต้นมา พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาล่างมาเกือบตลอด ยกเว้นแค่ปี 2008-2012 ที่คะแนนนิยมของพรรครีพับลิกันถดถอยไปอย่างมากจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีจอร์จ บุช คนลูก จนเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ สาเหตุที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากมาได้เกือบตลอดทั้งๆ ที่ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาพวกเขาชนะ Popular Vote ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้เพียงครั้งเดียว เป็นเพราะโครงสร้างของเขตการเลือกตั้ง ส.ส. นั้นเอื้อประโยชน์ให้กับพวกเขานั่นเอง

ความได้เปรียบของรีพับลิกันเกิดจากธรรมชาติที่แตกต่างของฐานเสียงของสองพรรค กล่าวคือฐานเสียงของพรรคเดโมแครตคือคนผิวสี (ที่มักจะมีฐานะไม่ดีและชอบนโยบายรัฐสวัสดิการของเดโมแครต และมักจะมองว่ารีพับลิกันเป็นพวกเหยียดผิว) กับคนผิวขาวที่มีแนวคิดทางสังคมแบบเสรีนิยม ซึ่งทั้งสองกลุ่มมักอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่และทำให้เดโมแครตชนะการเลือกตั้ง ส.ส. ในเขตเมืองใหญ่อย่างถล่มทลาย (เช่น ได้เสียงโหวตถึง 70-80% ในเขตเมืองบางเขต)

ในขณะที่ฐานเสียงของพรรครีพับลิกันคือคนผิวขาวในชนบท โดยเฉพาะคนผิวขาวเคร่งศาสนาที่ชื่นชอบนโยบายทางสังคมของรีพับลิกัน (เช่น การต่อต้านการทำแท้ง การต่อต้านการสมรสของคนเพศเดียวกัน) และคนผิวขาวในย่านชานเมืองที่มีฐานะดีที่มักนิยมชมชอบนโยบายตัดลดรายจ่ายโครงการรัฐสวัสดิการเพื่อลดอัตราการจัดเก็บภาษี ทำให้ผู้สมัครของรีพับลิกันมักจะชนะในเขตชนบทและเขตชานเมืองซึ่งมีจำนวนเก้าอี้มากกว่า (พูดง่ายๆ ว่าการกระจายตัวของฐานเสียงของรีพับลิกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในขณะที่ฐานเสียงของเดโมแครตไปกระจุกตัวกันอยู่ในเมืองไม่กี่เขต)

 


ชานเมืองที่เปลี่ยนไป
อย่างไรก็ดี ความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อเดโมแครตกลับมาครองเสียงส่วนมากในสภาล่างได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สมัยวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งสาเหตุหลักที่พรรคกลับมาครองที่นั่งส่วนใหญ่ได้เป็นเพราะพวกเขาเอาชนะรีพับลิกันได้ในหลายๆ เขตในย่านชานเมืองที่รีพับลิกันเป็นเจ้าของเก้าอี้มาอย่างยาวนาน อย่างเช่น ที่รัฐมินนิโซตา เขต 2 และ 3 อันเป็นย่านชานเมืองของเมืองเซนต์พอล-มินนิอาโพลิส, รัฐเวอร์จิเนีย เขต 10 อันเป็นย่านชานเมืองของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี., รัฐยูทาห์ เขต 4 ย่านชานเมืองของเมืองซอลต์เลกซิตี้ และจอร์เจีย เขต 6 ย่านชานเมืองของมหานครแอตแลนตา

สาเหตุที่เดโมแครตพลิกกลับเอามาชนะที่ย่านชานเมืองได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ทศวรรษเป็นเพราะการเสื่อมความนิยมของผู้นำของพรรครีพับลิกันอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ถ้าเราไปดูโพลที่สอบถามคนอเมริกันว่าให้ทรัมป์สอบผ่านในการทำหน้าที่ประธานาธิบดีหรือไม่ หรือที่เรียกว่า Approval Rating พบว่าคะแนน Approval Rating ของทรัมป์อยู่ที่แค่ประมาน 40% ต้นๆ เท่านั้นเอง (ซึ่งก็แปลได้ว่าคนอเมริกันเกือบ 60% ไม่ให้ทรัมป์สอบผ่านในฐานะประธานาธิบดี)

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทรัมป์มีคะแนนนิยมต่ำเป็นเพราะเขามีปัญหาด้านคาแรกเตอร์ เขามักให้สัมภาษณ์หรือทวีตในทำนองพูดจาโอ้อวด หรือบางครั้งก็ถึงขั้นเอาเรื่องไม่จริงมาอ้าง, ชอบพูดจาดูถูกคนผิวดำและคนเชื้อฮิสแปนิก และมีปัญหาในเรื่องผู้หญิง (ทรัมป์แต่งงานและหย่ามาแล้วหลายครั้ง, ถูกผู้หญิงหลายคนกล่าวหาว่าทรัมป์เคยลวนลามพวกเธอ และเคยถูกดาราหนังผู้ใหญ่ที่ชื่อ สตอร์มมี แดเนียล แฉว่าทรัมป์เคยซื้อประเวณีจากเธอ) ปัญหาด้านพฤติกรรมเหล่านี้อาจจะไม่มีผลอะไรมากกับฐานเสียงคนผิวขาวในย่านชนบท แต่มันเป็นประเด็นที่ฐานเสียงของรีพับลิกันในย่านชานเมืองไม่พอใจอย่างมาก เพราะคนกลุ่มนี้มักมีการศึกษาในระดับปริญญา และยังให้คุณค่ากับความเป็นสุภาพบุรุษและความสง่างามของประธานาธิบดี ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจหันมาเทคะแนนให้พรรคเดโมแครตแทน

จะเกิดอะไรขึ้นในปี 2020
สถานการณ์ในตอนนี้พรรครีพับลิกันครองที่นั่งอยู่ทั้งสิ้น 201 ที่นั่ง ซึ่งก็แปลว่าพวกเขาจะต้องพลิกเอาชนะช่วงชิงที่นั่งจากเดโมแครตมาให้ได้อย่างน้อย 17 ที่นั่งเพื่อจะกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาล่าง ซึ่งนักวิเคราะห์ทางการเมืองเห็นตรงกันว่าโอกาสที่พวกเขาจะทำสำเร็จยังมีค่อนข้างน้อยตราบใดที่พวกเขายังช่วงชิงเก้าอี้ในเขตชานเมืองกลับมาไม่ได้

ว่ากันตามจริงปีนี้พวกเขามีโอกาสที่จะแย่งชิงเก้าอี้ในเขตชนบทที่เดโมแครตยังถือครองอยู่อย่างเช่น ไอโอวา เขต 1 ซึ่งเป็นเขตชนบททางตะวันออกเฉียงเหนือของมลรัฐ, มินนิโซตา เขต 7 ซึ่งเป็นเขตชนบททางตะวันตกของมลรัฐ และนิวเม็กซิโก เขต 2 ซึ่งเป็นเขตชนบททางตอนใต้ของมลรัฐ เพราะทรัมป์ยังมีคะแนนนิยมสูงในกลุ่มชาวชนบทผิวขาว

แต่ปัญหาคือ จำนวนที่นั่งในเขตชนบทที่เดโมแครตยังถือครองอยู่นั้นมีจำนวนน้อยแล้ว (แค่ประมาณ 5-6 ที่นั่ง) การที่รีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากได้นั้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องชิงที่นั่งในเขตชานเมืองมาให้ได้ 10 ที่นั่งขึ้นไปร่วมด้วย ซึ่งเป็นงานที่ยากยิ่งกว่าสมัยการเลือกตั้งปี 2016 เสียอีก เพราะการเลือกตั้งในปีนี้มีการเลือกประธานาธิบดีคู่กันไป ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคและผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคยิ่งผูกติดไปกับทรัมป์ที่มีคะแนนนิยมตกต่ำในย่านชานเมือง (โพลล่าสุดของสำนักข่าว NBC ระบุว่าไบเดนมีคะแนนนำทรัมป์ที่ย่านชานเมืองถึง 11%)

ภาพ: Getty Images

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising