โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) เผยแพร่รายงานช่องว่างการผลิต หรือ Production Gap Report ประจำปี 2021 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นจริงกับการประมาณกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
โดยข้อมูลรายงานพบว่า รัฐบาลของหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น ออสเตรเลีย รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ยังคงวางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ อีกมากกว่า 2 เท่าภายในปี 2030 ซึ่งขัดแย้งกับแผนดำเนินการเพื่อลดการแพร่กระจายของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีเป้าหมายหลักคือ จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
รายงานจาก UNEP ระบุว่า ภายในปี 2030 จะมีหลายประเทศขุดเจาะหรือทำเหมืองเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 2 เท่าของระดับที่จำเป็น เพื่อคงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนการผลิตถ่านหินจะลดลงเล็กน้อย
ขณะที่รายงานช่องว่างการผลิตของ UNEP ถูกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 2019 โดยหลังผ่านไป 2 ปี ยังมีรัฐบาลของหลายชาติวางแผนที่จะผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลให้มากขึ้น สวนทางกับความตกลงปารีสที่ผู้นำโลกเห็นพ้องร่วมกันเมื่อปี 2015 ให้ลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2030 ก่อนจะลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนเหลือ 0 ในปี 2050
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตั้งเป้าลดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนเหลือ 0 แต่บรรดากลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินรายใหญ่ ยังไม่มีการกำหนดแผนเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลงอย่างรวดเร็ว โดยนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า แผนลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นยังมีความจำเป็นสำหรับการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ภาพ: Photo by Christopher Furlong / Getty Images
อ้างอิง:
