×

‘ยูฟ่าแชมเปียนส์​ลีก’ ความเดิมตอนที่แล้ว…ก่อนกลับมาลุยกันตอนใหม่อีกครั้ง!

06.08.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 mins. read
  • เป็นเวลากว่า 5 เดือนที่ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกต้องพักการแข่งขัน แต่รายการฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกกำลังจะกลับมาแล้วในคืนวันศุกร์นี้ (7 สิงหาคม) ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เลก 2 
  • ด้วยความจำเป็นทำให้ยูฟ่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันใหม่ในแบบมินิทัวร์นาเมนต์ แข่งม้วนเดียวจบจากรอบ 8 ทีมสุดท้ายจนถึงนัดชิงชนะเลิศแบบแพ้ตกรอบ และย้ายสนามแข่งมาที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
  • สถานการณ์โรคระบาดทำให้แต่ละทีมประสบปัญหาในการเตรียมความพร้อมมากน้อยไม่เท่ากัน แต่บาเยิร์น มิวนิก ถูกมองว่าเป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์ในปีนี้

ความจริงแล้วช่วงเวลานี้ควรจะเป็นช่วงเวลาของการแข่งขันในรอบคัดเลือกของฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สำหรับฤดูกาล 2020-21 แต่เพราะโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลก ทำให้การแข่งขันรายการลูกหนังที่ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพสูงสุดของโลกต้องหยุดพักการแข่งมาร่วม 5 เดือน

 

โดยเกมนัดสุดท้ายของแชมเปียนส์ลีก ก่อนที่โควิด-19 จะหยุดทุกอย่างคือเกมในวันที่ 11 มีนาคม ในวันที่ ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล แชมป์เก่าถูก ‘ตราหมี’ แอตเลติโก มาดริด บุกมาคว้าชัยชนะได้อย่างเหลือเชื่อที่แอนฟิลด์ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ ซึ่งเป็นหนึ่งในเกม ‘คัมแบ็ก’ ที่มันสุดๆ

 

แต่ก็เศร้าสุดๆ เพราะเป็นเกมที่ถูกประณามว่าเป็นต้นเหตุของการระบาดครั้งใหญ่ในอังกฤษและสเปน ที่ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อหลายพันราย และผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากจากการที่ฝ่ายจัดการแข่งขันยืนยันที่จะให้มีการแข่งตามปกติโดยไม่มีมาตรการป้องกัน ทั้งๆ ที่สถานการณ์ในสเปนกำลังเข้าขั้นวิกฤต แต่แฟนบอลจากมาดริดสามารถเดินทางมาชมเกมได้ที่เมอร์ซีย์ไซด์

 

ยังมีอีกหนึ่งเกมที่ถูกประทับ ‘ตราบาป’ คือเกมที่อตาลันตาเอาชนะบาเลนเซียได้ที่สนามซานซิโร 4-1 ต่อหน้าแฟนบอล 40,000 คนที่เดินมาร่วมเชียร์การลงสนามในรอบน็อกเอาต์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองแบร์กาโม 

 

เกมนัดนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในอิตาลีและยุโรป โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘Partita Zero’ หรือ ‘เกมที่ศูนย์’ ซึ่งเป็นเหมือนระเบิดชีวภาพที่ทำลายล้างชาวเมืองแบร์กาโม และประเทศอิตาลีให้เผชิญกับฝันร้ายที่ยาวนาน

 

หลังจากนั้นแชมเปียนส์ลีกได้เลื่อนการแข่งขันไปอย่างไม่มีกำหนดเช่นเดียวกับการแข่งขันฟุตบอลและกีฬาอื่นๆ ทั่วโลก และมีการปรับเปลี่ยนตารางการแข่งขัน รูปแบบการแข่งขัน และอะไรอีกหลายอย่างเพื่อให้สามารถกลับมาทำการแข่งขันกันต่อได้

 

เพียงแต่เรามาลองบิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปสักนิด ก่อนจะมาดูกันว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้ามีอะไรบ้าง

 

เซร์คิโอ รามอส กัปตันราชันชุดขาวโดนไล่ออกในเกมที่แล้ว

 

ความเดิมจากตอนที่แล้ว…

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเกมนัดสุดท้ายที่มีการลงสนามได้คือเกมน็อกเอาต์รอบแรก หรือรอบ 16 ทีมสุดท้าย เลก 2 ที่ลิเวอร์พูลพ่ายต่อแอตเลติโก มาดริดไป 2-3 

 

สิ่งที่ค้างคาและเป็นปัญหาคือเกมในรอบเดียวกันที่ยังแข่งขันไม่จบอีก 4 คู่ด้วยกัน ตามโปรแกรมดังนี้

 

 

จากโปรแกรมที่ตกค้างอยู่ทั้ง 4 คู่ จะเห็นได้ว่ามีเพียงเกมเดียวเท่านั้นที่สกอร์ถือว่าขาดไปแล้วคือบาเยิร์น มิวนิก ที่บุกไปชนะเชลซี 3-0 และหากจะดวงแตกตกรอบจริงต้องพ่ายขาดลอยคาบ้านถึง 0-4 ซึ่งแม้ในเกมฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่มันก็แทบจะต้องเรียกว่ายิ่งกว่าปาฏิหาริย์

 

ขณะที่อีก 3 คู่ ถือว่าสถานการณ์คู่คี่สูสีอย่างมาก มีโอกาสที่จะออกได้ทุกหน้าโดยเฉพาะในเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ เรอัล มาดริด ที่จะต้องมีทีมใดทีมหนึ่งเสียใจ

 

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้เป็นประเด็นถกเถียงกันยาวนานว่าโปรแกรมเหล่านี้จะทำการแข่งขันต่อกันอย่างไร ซึ่งในที่สุดก็ได้คำตอบว่าทั้งหมดจะลงแข่ง ‘ในบ้าน’ ตามโปรแกรมเดิม ไม่มีการย้ายสนามแข่งแต่อย่างใด แค่ต้องมีการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด

 

เพื่อที่ทุกอย่างจะได้เดินหน้าไปสู่ขั้นต่อไป กับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกใหม่ที่จะถูกบันทึกไว้เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ แม้ว่ามันจะเป็นความทรงจำที่แสนเศร้าก็ตาม

 

เอสตาดิโอ ดา ลุซ สังเวียนจำเป็นไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ

 

สมรภูมิลิสบอน

ด้วยสถานการณ์โรคระบาดทำให้ยูฟ่าตัดสินใจที่จะปรับรูปแบบการแข่งขันใหม่เพื่อให้ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วที่สุด 

 

และนั่นหมายถึงการอกหักของกรุงอิสตันบูล ที่เพิ่งจะได้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกอีกครั้งนับตั้งแต่เกม The Miracle of Istanbul ที่ลิเวอร์พูลพลิกสถานการณ์จากตามหลังเอซี มิลาน 0-3 กลับมาไล่ตีเสมอ 3-3 และคว้าแชมป์ได้ในการดวลจุดโทษเมื่อปี 2005

 

กรุงอิสตันบูลขาดความพร้อมที่จำเป็นในการจัดการแข่งขันในรูปแบบมินิทัวร์นาเมนต์ ซึ่งยูฟ่าเชื่อว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดโดยให้ทุกทีมที่ผ่านเข้ารอบมาอยู่ด้วยกันใน ‘ฟองสบู่’ เพื่อทำการแข่งขันให้จบรายการโดยใช้เวลาตั้งแต่เกมแรก (รอบ 8 ทีมสุดท้าย) จนถึงเกมสุดท้าย (นัดชิงชนะเลิศ) 11 วันด้วยกัน

 

นั่นทำให้กรุงลิสบอนในประเทศโปรตุเกสซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าที่จะรองรับการจัดการแข่งขันครั้งนี้ได้ โดยจะใช้สนามแข่ง 2 แห่งด้วยกันคือ

  1. เอสตาดิโอ ดา ลุซ ของทีมเบนฟิกา
  2. เอสตาดิโอ โชเซ อัลวาลาเด ของทีมสปอร์ติง ลิสบอน

 

ขณะที่รูปแบบการแข่งขันมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่จะต้องเล่นในระบบเหย้า-เยือน จนถึงรอบรองชนะเลิศก็เปลี่ยนมาเป็นเกมแบบน็อกเอาต์ รู้ผลกันในเกมเดียวเท่านั้น

 

ทีมไหนแพ้ตกรอบก็กลับบ้านได้เลย ทีมชนะได้อยู่ต่อ และทุกอย่างจะจบลงในวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม

 

แซร์ช นาบรี, ดาวิด อลาบา และโจชัว คิมมิช (จากซ้ายไปขวา) เตรียมความพร้อมก่อนลุ้นคว้าแชมป์ยุโรปของบาเยิร์นอย่างเข้มข้น

 

แล้วทีมไหนจะเป็นแชมป์?

ด้วยความที่เป็นสถานการณ์ไม่ปกติจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะวิเคราะห์เจาะลึกลงไปได้ว่าทีมใดที่มีโอกาสจะเป็นแชมป์ โดยเฉพาะจากการที่รูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนเป็นแบบน็อกเอาต์ นั่นหมายถึงทุกทีมสามารถสร้างสิ่งที่เหลือเชื่อได้เสมอ

 

อย่างไรก็ดี หากจะให้ประเมินจากองค์ประกอบต่างๆ แล้วต้องบอกว่า ‘เสือใต้’ บาเยิร์น มิวนิก เป็นทีมที่ดูมีโอกาสมากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยเรื่องขุมกำลังผู้เล่น ฟอร์มการเล่น และการที่ฟุตบอลบุนเดสลีกาปิดฉากเร็วตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน ทำให้พวกเขามีเวลาได้พักและเตรียมความพร้อมได้ดีกว่าทีมอื่น

 

เมื่อเทียบกับยูเวนตุส ที่เพิ่งจะปิดฉากฤดูกาลเซเรีย อา (ลีกที่ปิดช้าที่สุด) หรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งยังต้องไปตัดกันเองกับเรอัล มาดริดอีก รวมถึงบาร์เซโลนาที่จะต้องหักเหลี่ยมกับนาโปลีอีกก็จะเห็นความได้เปรียบ-เสียเปรียบเรื่องนี้ที่ชัดเจน

 

ขณะที่ปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือเปแอสเช อีกหนึ่งตัวเต็งก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บของ คีเลียน เอ็มบัปเป ดาวยิงเบอร์หนึ่ง และไม่มี เอดินสัน คาวานี กองหน้าตัวเก๋าที่อำลาทีมไปเรียบร้อยแล้ว เหลือความหวังสูงสุดอยู่ที่เนย์มาร์ เจ้าชายลูกหนังชาวบราซิลเป็นหลัก

 

ถึงจะกวาด 2 แชมป์ฟุตบอลถ้วยมาครองได้ก่อนหน้านี้ แต่ระดับของเกมภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำมาเทียบกับระดับทวีปได้

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือจากผลของการจับสลากประกบคู่ที่วางทีมเอาไว้ล่วงหน้านั้นจะเห็นว่า ‘สายบน’ นั้นงานเบากว่า ‘สายล่าง’ พอสมควร 

 

 

โดยสายบนนั้น อตาลันตาจะพบกับเปแอสเช ขณะที่อีกคู่แอร์เบ ไลป์ซิก จะพบกับแอตเลติโก มาดริด และผู้ชนะของสองคู่นี้จะพบกันเองในรอบรองชนะเลิศ

 

ขณะที่สายล่างยังเหลือทั้งนาโปลี, บาร์เซโลนา, เชลซี, บาเยิร์น มิวนิก, เรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลียง และยูเวนตุส ที่ทีมเหล่านี้ต้องมาตัดกันเอง

 

มีโอกาสที่สายล่างจะเข้ารอบมาแบบสะบักสะบอมกว่าสายบน และทำให้เราอาจมองข้ามทีม ‘ม้ามืด’ อย่างแอต.มาดริด หรือแม้แต่อตาลันตาไม่ได้เด็ดขาด (ยกเว้นไลป์ซิกซึ่งเสียติโม แวร์เนอร์ ให้เชลซีไปแล้ว)

 

ปูพื้นกันให้ประมาณนี้ ที่เหลือบทสรุปจะเป็นอย่างไร ขอให้มาติดตามตอนใหม่ไปด้วยกัน!

 

ภาพประกอบ: อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising