×

หุ้น U เผชิญแรงขายทำกำไร กดราคาดิ่งท้ายตลาด หลังปรับขึ้นร้อนแรงในวานนี้ ด้านนักวิเคราะห์ชี้ยังไร้ปัจจัยหนุนใหม่

15.10.2021
  • LOADING...
ยู ซิตี้

ความเคลื่อนไหวของหุ้น บมจ.ยู ซิตี้ (U) ในช่วงหนึ่งถึงสองวันมานี้ เริ่มส่งสัญญาณร้อนแรงทั้งในด้านราคาและมูลค่าการซื้อขาย โดยเฉพาะแรงซื้อที่โถมเข้ามาอย่างหนักในวันที่ 14 ตุลาคม 2564 ทำให้ราคาปรับขึ้นร้อนแรงกว่า 13.4% มาปิดตลาดที่ 1.95 บาท 

 

ล่าสุดเช้าวันนี้ (15ตุลาคม) บรรยากาศการซื้อขายในช่วงเช้า ราคาหุ้น U ยังคงปรับขึ้นร้อนแรงทะลุระดับ 2 บาท จนขึ้นไปทำจุดสูงสุดของวันที่ 2.12 บาท พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น แต่สุดท้ายไปได้ไม่ไกลก็เริ่มมีแรงเทขายทำกำไรออกมา โดยเฉพาะในช่วงท้ายก่อนปิดตลาดวันนี้ ทำให้ราคาไหลลงมาอย่างรวดเร็ว มาปิดตลาดที่ 1.82 บาท ลดลง 6.67% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นเป็นอันดับ 3 ของตลาดรวมกว่า 2.53 พันล้านบาท

 

สาเหตุที่หุ้น U กลับมาร้อนแรง ส่วนหนึ่งเพราะหลุดจากมาตรการกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ก่อนหน้านี้ได้จับหุ้น U ขังในมาตรการกำกับดูแลระดับ 1 โดยที่สมาชิกหรือโบรกเกอร์ต้องดำเนินการให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์ด้วยบัญชี Cash Balance เท่านั้น เท่ากับว่าลูกค้าต้องวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์ระหว่างวันที่ 23 กันยายน ถึง 12 ตุลาคมที่ผ่านมา

 

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าแรงซื้อที่มีเข้ามาอย่างหนาแน่นในหุ้น U รอบนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ใดเข้ามาสนับสนุน นอกเหนือจากปัจจัยการร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม บมจ.เจ มาร์ท (JMART) ด้วยการเข้าถือหุ้นใน บมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) ซึ่งเป็นข่าวไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้

 

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า นักลงทุนยังใช้ข่าวเก่ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม U โดยมองว่าไตรมาส 4 นี้จะมีความคืบหน้าในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่ม JMART อย่างไรก็ตามด้วยพื้นฐานของ U แล้วยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นจึงยังไม่มีนักวิเคราะห์ค่ายใดทำการวิเคราะห์หุ้นตัวนี้อย่างละเอียด

 

“หุ้น U ยังไม่มีข่าวอะไรใหม่ๆ นักลงทุนเข้ามาเล่นก็ใช้ข่าวเก่าๆ มองว่าจะมีความคืบหน้า แต่ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้”

 

ด้าน กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า U มีแผนที่จะขายทรัพย์สินที่เป็นโรงแรมทั้งในและต่างประเทศออกไป นักลงทุนจึงคาดการณ์ว่างบการเงินไตรมาส 3 ที่จะประกาศออกมาจะมีการรับรู้รายการพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ามา ดังนั้นจึงมีแรงซื้อเพื่อเข้าเก็งกำไรก่อนที่บริษัทจะแจ้งผลประกอบการ

 

นอกจากนี้นักลงทุนยังคาดว่านโยบายการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ จะส่งผลดีกับ U ซึ่งทำธุรกิจโรงแรมด้วย แม้ว่าบริษัทจะมีแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจไปทางการดิจิทัลไฟแนนซ์ในอนาคตช่วง 3-5 ปีข้างหน้า

 

อย่างไรก็ตามประเมินว่าพัฒนาการของ U ตามเป้าหมายการปรับโครงสร้างไปสู่การเป็นดิจิทัลไฟแนนซ์ยังต้องติดตามความชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่

 

“รอบก่อนหุ้น U ขึ้นเพราะมีประเด็นเฉพาะตัว คือการเข้าไปลงทุนใน SINGER มาถึงรอบนี้ถ้าจะพูดกันจริงๆ ยังไม่มีเหตุผลว่านักลงทุนเข้ามาเล่นกันทำไม เพราะประเด็นก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ แต่นักลงทุนบางกลุ่มน่าจะเก็งกำไรงบจากกรณีที่ผู้บริหารบอกว่าจะทยอยขายโรงแรม โดยเฉพาะในต่างประเทศออกไปก่อน ว่าอาจจะบุ๊กไตรมาส 3 นี้ ซึ่งก็ยังไม่มีความแน่นอนอีก”

 

นอกจากนี้ประเด็นการเปิดประเทศก็น่าจะมีผล เพราะ U ทำธุรกิจโรงแรม แต่สุดท้ายผู้บริหารก็มีแผนจะขายออกทั้งหมดอยู่แล้ว ตอนนี้คนที่เข้ามาเล่นหุ้นไม่ได้มองที่แวลูว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่หาประเด็นเก็งกำไรเท่านั้น จึงถือเป็นความเสี่ยง”

 

สำหรับ บมจ.ยู ซิตี้ ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า บริการ จำหน่าย และบริหารอย่างครบวงจร รวมถึงธุรกิจโรงแรมที่เปิดให้บริการทั้งในและต่างประเทศ

 

U มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 5 อันดับแรก (ณ วันที่ 2 มีนาคม 2564) ประกอบด้วย

 

  1. บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำนวน 2,033,425,452 หุ้น คิดเป็น 36.22%

 

  1. Phillip Securities (Hong Kong) Limited จำนวน 605,228,108 หุ้น คิดเป็น 10.78%

 

  1. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จำนวน 174,769,923 หุ้น คิดเป็น 3.11%

 

  1. South East Asia Uk (Type C) Nominees Limited จำนวน 102,979,524 หุ้น คิดเป็น 1.83%

 

  1. โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ จำนวน 99,569,427 หุ้น คิดเป็น 1.77%

 

ล่าสุดกลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ได้ทุ่มเงิน 1.85 หมื่นล้านบาทเพิ่มทุนใน บมจ.เจ มาร์ท (JMART) และ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) เพื่อต่อยอดธุรกิจ โดยวางแผนปรับโครงสร้าง U จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่ดิจิทัลไฟแนนซ์ 

 

โดยให้ บมจ.วีจีไอ (VGI) ซึ่ง BTS ถือหุ้นในสัดส่วน 21.95% เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน JMART ในสัดส่วน 15% คิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 7 พันล้านบาท ขณะที่ U ซึ่ง BTS ถือหุ้นในสัดส่วน 36.22% เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน SINGER ในสัดส่วน 9.9% คิดเป็นเม็ดเงินลงทุน 4.5 พันล้านบาท

 

นอกจากนี้ ยังให้ U เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงของ SINGER ในสัดส่วน 24.9% คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 7 พันล้านบาทด้วย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising