×

ทรัมป์ 2.0: ขวากว่า ชาตินิยมกว่า และเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

26.12.2023
  • LOADING...
โดนัลด์ ทรัมป์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และตัวเต็งในการที่จะเป็นผู้แทนพรรครีพับลิกันชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2024 ได้ตกเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์อีกครั้ง เมื่อเขาใช้ถ้อยคำรุนแรงกล่าวหาผู้อพยพจากต่างชาติว่ากำลังเข้ามาสร้าง ‘เลือดพิษ’ (Poisoning the Blood) ให้กับสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการปราศรัยหาเสียงก่อนการเลือกตั้งขั้นต้นที่มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งสาเหตุที่คำปราศรัยนี้เป็นเรื่องอื้อฉาวขึ้นมานั้น เพราะว่าเป็นภาษาที่คล้ายกับที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยใช้ในหนังสือ Mein Kampf ของเขา ก่อนที่เขาจะก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

 

ในบทความนี้จะพาผู้อ่านไปดูรูปแบบการหาเสียงในความพยายามที่จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ของทรัมป์ วิเคราะห์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และทรัมป์ต้องการอะไรหากเขาเอาชนะ โจ ไบเดน ในการเลือกตั้งได้จริงๆ

 

ขวากว่าเดิม ชาตินิยมกว่าเดิม

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์ใช้ภาษาของนาซีเยอรมนีในการปราศรัยหาเสียง เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็เคยปราศรัยโจมตีไบเดนและพรรคเดโมแครตว่าเป็น ‘สัตว์นำเชื้อโรค’ (Vermin) เหมือนกับที่ฮิตเลอร์เคยใช้เรียกชาวยิว 

 

การที่ทรัมป์ใช้ภาษาที่รุนแรงขึ้นในการปราศรัย (ที่แม้แต่เขาเองก็ไม่กล้าใช้ในการหาเสียงปี 2016 และ 2020) ชี้ให้เห็นว่า เขาจะหาเสียงในรอบนี้ด้วยรูปแบบและนโยบายที่ขวาจัดและชาตินิยมจัดยิ่งกว่าตอนที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งแรกเสียอีก 

 

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะฐานเสียงของทรัมป์ (คนขาวที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีในเขตชนชบท) รักใคร่และชื่นชอบเขาก็เพราะแนวคิดแบบชาตินิยมที่เอื้อประโยชน์แก่คนขาว 

 

นอกจากนั้นทรัมป์และพรรครีพับลิกันน่าจะได้บทเรียนจากการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2022 ที่ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันไม่ได้เน้นรูปแบบการหาเสียงแบบชาตินิยมจัดเท่าทรัมป์ จนทำให้ฐานเสียงของทรัมป์นอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ออกมาลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งทำให้พวกเขาแพ้การเลือกตั้งที่สภาสูง และเกือบแพ้การเลือกตั้งที่สภาล่างด้วยซ้ำ

 

นอกจากนั้นทรัมป์ยังคงเล็งเห็นแล้วว่า การที่เขายังคงดำรงภาพของการเป็นผู้สมัครที่ขวาจัดและชาตินิยมจัดที่สุดนั้น ก็ยังทำให้เขายังเป็นผู้สมัครที่ได้รับความนิยมชมชอบที่สุดในหมู่ฐานเสียงของพรรค จนทำให้คะแนนในผลโพลสำหรับการเลือกตั้งขั้นต้นนั้นนำห่างผู้สมัครรายอื่นที่พยายามเสนอภาพที่ ‘ซอฟต์’ กว่าอย่าง รอน ดิแซนทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา หรือ นิกกี เฮลีย์ อดีตผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนา (คะแนนของทรัมป์อยู่ที่ราวๆ 60% ในขณะที่อีกสองคนอยู่แค่ราวๆ 15%)

 

ทรัมป์ 2.0 กับการเอาคืนและการล้างแค้น

 

แหล่งข่าวจากบุคคลใกล้ชิดของทรัมป์ระบุตรงกันว่า ทรัมป์โกรธแค้นไบเดนและพรรคเดโมแครตมาก กับการที่เขาถูกอัยการสั่งฟ้องใน 4 คดี อันได้แก่ คดีจ่ายเงินปิดปากนักแสดงหนังผู้ใหญ่ที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย, คดีเอกสารลับของราชการที่เขาไม่ยอมคืนหลังจากพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี, คดีเหตุจลาจลที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม และคดีการพยายามเปลี่ยนผลการเลือกตั้งที่มลรัฐจอร์เจีย 

 

ทรัมป์เชื่อว่าเขาถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะชนะการเลือกตั้งในรอบนี้ เพื่อสั่งให้กระทรวงยุติธรรมล้มเลิกกระบวนการฟ้องร้องเขา และในทางกลับกันเขาจะสั่งให้กระทรวงหันมาฟ้องร้องเล่นงานลูกชายของไบเดนอย่าง ฮันเตอร์ ไบเดน แทนเพื่อเป็นการเอาคืน 

 

ซึ่งความโกรธแค้นนี้ก็ได้สะท้อนออกมาในคำปราศรัยของทรัมป์ที่ใช้ถ้อยคำรุนแรง อย่างเช่น คำกล่าวหาไบเดนว่าเป็น ‘สัตว์นำเชื้อโรค’ อย่างที่กล่าวไปเมื่อข้างต้น นอกจากนั้นเขายังได้ให้สัมภาษณ์กับ ฌอน แฮนนิตี ของช่อง Fox News ว่า เขาวางแผนที่จะเป็นเผด็จการในวันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 ซึ่งก็เป็นการบอกกับชาวอเมริกันเป็นนัยๆ ว่า สิ่งที่สื่อรายงานออกมานั้นเป็นความจริง และเขาก็ต้องการที่จะชนะเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างมาก เพื่อที่จะดิ้นรนให้ตัวเองพ้นจากคดีความทั้งหมดและเอาคืนไบเดนและพรรคพวกอย่าง ‘สาสม’

 

นักการเมืองส่วนมากของพรรครีพับลิกันยังภักดีกับทรัมป์

 

แน่นอนว่าแนวคิดเรื่องการเอาคืนและล้างแค้นนั้นเป็นแนวคิดที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย และนักการเมืองของพรรครีพับลิกันหลายคนก็ได้ออกมาต่อต้านทรัมป์ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอดีตผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์อย่าง คริส คริสตี (ที่เคยเป็นอดีตคนสนิทของทรัมป์เสียด้วยซ้ำ) ที่มาลงเลือกตั้งขั้นต้นด้วยตัวเอง เพื่อพยายามไม่ให้ทรัมป์กลับมาเป็นผู้แทนพรรคและเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย 

 

แต่อย่างไรก็ดี นักการเมืองส่วนมากของพรรครีพับลิกันยังภักดีและให้การสนับสนุนทรัมป์ ดังจะเห็นได้จากจำนวนนักการเมืองที่ออกมาประกาศให้การสนับสนุนทรัมป์เพื่อเป็นผู้แทนพรรคในการลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นมีถึงกว่าร้อยคน ในขณะที่นักการเมืองที่ออกมาสนับสนุนคู่แข่งของเขาอย่างดิแซนทิสและเฮลีย์มีไม่ถึง 20 คน

 

ซึ่งสาเหตุที่นักการเมืองส่วนใหญ่ของพรรคยังคงให้การสนับสนุนทรัมป์ ก็เป็นเพราะฐานเสียงของพรรคยังรักและศรัทธาในตัวของทรัมป์มาก ดังนั้นหากพวกเขาออกมาต่อต้านทรัมป์ก็มีโอกาสสูงมากที่จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งขั้นต้นต่อนักการเมืองที่ภักดีต่อทรัมป์ ดังจะเห็นได้จากกรณีการโหวต Impeachment ในรอบที่ 2 ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันทั้งสิ้น 10 คนที่โหวตเห็นชอบให้ถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ซึ่งก็ปรากฏว่าในการเลือกตั้งรอบถัดมามี สส. เพียง 2 คนที่ยังรักษาเก้าอี้ไว้ได้ ที่เหลืออีก 8 คนไม่แพ้ในการเลือกตั้งขั้นต้นก็ถูกสถานการณ์บังคับให้ตัวเองต้องเกษียณตัวเองจากการเมืองไป

 

ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising