ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE ล่าสุด (31 ตุลาคม) ดิ่งลงแตะระดับ 5.75 บาท ถือเป็นจุดต่ำสุดใหม่นับแต่ที่บริษัทควบรวมกิจการกับ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ DTAC และกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ปัจจัยกดดันสำคัญที่กระทบต่อราคาหุ้น TRUE ในวันนี้มาจาก 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
- ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น โดยรับคำฟ้องในคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรณีขอให้เพิกถอนมติ กสทช. ในการประชุมนัดพิเศษเมื่อ 20 ตุลาคม 2565 ที่รับทราบเรื่องการควบรวมธุรกิจระหว่าง TRUE และ DTAC
- ข้อพิพาทเกี่ยวกับการเรียกผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่มจากรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม (Interconnection Charge: IC) โดยเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT (เดิม บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)) ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เรียกร้องให้ TRUE (เดิม บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC)) ชำระผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่มสำหรับรายได้ค่า IC สำหรับดำเนินการที่ 21-27 เป็นจำนวนประมาณ 15,879 ล้านบาท พร้อมทั้งเบี้ยปรับ โดยบริษัทได้ยื่นคำคัดค้านต่ออนุญาโตตุลาการ ดังที่ได้เปิดเผยข้อมูลไว้แล้วในรายงานประจำปี 2565
ล่าสุด เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดให้บริษัทชำระผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่มจากรายได้ค่า IC พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่มและเบี้ยปรับเป็นจำนวนเงิน 7,066.96 ล้านบาท และเบี้ยปรับในอัตรา 15% ต่อปี จากเงินจำนวน 4,136.87 ล้านบาท (Net IC ไม่รวมเบี้ยปรับและภาษีมูลค่าเพิ่ม) นับถัดจากวันยื่นคำเสนอข้อพิพาทคือ 22 ตุลาคม 2562 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่ NT
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งบริษัทไม่เห็นพ้องกับคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และบริษัทจะยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองกลาง
ด้าน ศุภชัย วัฒนวิเทศกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่าปัจจัยหลักที่กดดันให้หุ้น TRUE ดิ่งลงแรงในวันนี้มีน้ำหนักจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นมารับคำฟ้องต่อ กสทช. กรณีการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC มากกว่า
“ถือเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ตลาด เพราะก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นไม่รับเรื่อง แต่ส่วนตัวมองว่าในทางปฏิบัติที่จะให้แยกกิจการกันอีกครั้งอาจทำได้ยาก เพราะผลกระทบมหาศาล หลังจากการควบรวมผ่านมาแล้วเป็นปี และผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนหุ้นกันไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ศุภชัยมองว่ามูลฟ้องดังกล่าวก็มีเหตุผล หลังจากที่รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (APRU) เพิ่มขึ้นจริง แต่บริษัทน่าจะยังพอให้เหตุผลยืนยันกลับได้เช่นกัน เพราะปริมาณการใช้งานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงไม่ใช่เป็นการปรับขึ้นราคาเพียงด้านเดียว
สิ่งที่จะกระทบต่อธุรกิจคือ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีแนวโน้มจะถูกควบคุมที่เข้มข้นมากขึ้นจาก กสทช. และทำให้การปรับขึ้นราคาของผู้ให้บริการอาจทำได้ยากขึ้นในอนาคต
“ส่วนตัวมองว่าเรื่องคดีความจะยังค้างต่อไปอีกสักระยะ ทั้งคดีควบรวมกิจการ และข้อพิพาทกับ NT ซึ่งจะกินเวลาอีกหลายปี ส่วนตัวมองว่าราคาหุ้น TRUE ในวันนี้ลดลงลึกเกินไป และมองว่าเป็นโอกาสมากกว่า”
สำหรับข้อพิพาทกับ NT ยังน่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะรู้คำตัดสินในท้ายที่สุด เพราะปัจจุบันคดีนี้ยังอยู่ในชั้นอนุญาโตตุลาการเท่านั้น