×

ยิ่งขาดทุนยิ่งต้องลงทุน! เปิดเหตุผล ‘เซอร์ ทิม คลาร์ก’ จากพนักงานเช็กอินสู่ประธานสายการบิน ผู้พา ‘Emirates’ เสิร์ฟคาเวียร์ไม่อั้นในวันเปิดประเทศ

01.12.2022
  • LOADING...
เซอร์ ทิม คลาร์ก

HIGHLIGHTS

7 Mins Read
  • ย้อนไปเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 สายการบิน Emirates ประกาศว่าสามารถทำกำไร 1.09 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีการเงิน 2565/2566 นอกจากผลของการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการเดินทาง ทั้งแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และการผ่อนคลาย-ยกเลิก ข้อจำกัดการแพร่ระบาดทั่วโลก
  • หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ Emirates กลับมากำไรได้เร็วเช่นนี้ คือสไตล์การบริหารของเซอร์ ทิม คลาร์ก (Sir Tim Clark) ซึ่งคิดและทำตามข้อมูลที่ตัวเองมีแบบไม่แคร์ใคร ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการประกาศลงทุนเพิ่มกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อยกระดับประสบการณ์การบินของนักเดินทางให้สูงขึ้นอีก ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่สวนทางกับหลายสายการบิน ที่อาจให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนหลังจากผ่านช่วงเวลาที่เลือดไหลโทรมกาย
  • ตัวอย่างไฮไลต์ไอเดียของเซอร์ ทิม คลาร์ก ที่โดดเด่นในช่วงเวลาแห่งการเปิดประเทศไม่สนใจโควิด คือการประกาศว่า Emirates จะเสิร์ฟคาเวียร์ไม่อั้น การประกาศให้พื้นที่วางขาผู้โดยสารชั้นประหยัดกว้างขึ้น การไม่งดไฟลต์บินไปรัสเซียในช่วงที่โลกต่อต้านการรุกรานยูเครน และการแสดงความกังวลหาก ‘เครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลก’ ไม่ยอมใหญ่ขึ้นอีก!

สายการบิน Emirates เคยรายงานการขาดทุน 1.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564 แต่เมื่อ 1 ปีผ่านไป รายรับในช่วง 6 เดือนจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 เพิ่มขึ้น 131% เป็น 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้มีผลกำไรครึ่งปีแรกราว 1.1 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของสายการบินในการตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วภูมิภาค

 

Emirates เชื่อว่าประสิทธิภาพการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของสายการบิน ได้รับแรงหนุนจากกระแสความต้องการของผู้โดยสารสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ การฟื้นตัวนี้ทำให้กลุ่มบริษัท Emirates เพิ่มจำนวนพนักงานขึ้น 10% เป็น 93,893 คน เพื่อเตรียมพร้อมให้ทั้งสายการบินและบริษัทในเครือ Dnata ที่ให้บริการสนามบินของกลุ่ม ได้ดำเนินการสรรหาบุคลากรเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต 

 

การเร่งเตรียมพร้อมรับมือความต้องการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวช่วงหลังโลกผ่อนคลายมาตรการโควิดนั้นเป็นเรื่องที่โลกให้ความสนใจมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะเซอร์ ทิม คลาร์ก ที่หมั่นให้สัมภาษณ์เพื่อบอกโลกก่อนหน้านี้ว่า ตัวเขาไม่เห็นวี่แววเลยที่ความต้องการเดินทางของชาวโลกจะหดตัว 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ไม่ว่าสนามบินจะมีความโกลาหลยุ่งเหยิงเพียงใด หรือว่าจะมีความท้าทายด้านเศรษฐกิจขนาดไหน ความมั่นใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนงานมโน แต่เป็นการเดิมพันจากประสบการณ์ 50 ปีของประธานสายการบิน Emirates ที่กำลังเตรียมเกษียณจากตำแหน่งงานเต็มเวลา

 

จากพนักงานเช็กอินสู่ประธานสายการบิน

เซอร์ ทิม คลาร์ก เป็นหนึ่งในผู้บังคับบัญชาธุรกิจสายการบินเพียงไม่กี่คนที่ถูกขอเซลฟีบ่อยๆ เมื่อเข้าร่วมสุดยอดการประชุมระดับโลก เหตุผลเป็นเพราะเซอร์ ทิมคือตำนานแห่งอุตสาหกรรมสายการบินที่ยังมีชีวิต หลังจากเข้าร่วมอุตสาหกรรมนี้ในปี 1972

 

 

ภาพ: Christian Marquardt / Getty Images

 

วันนี้เซอร์ ทิม คลาร์ก ดึงประสบการณ์จากการเป็นพนักงานเช็กอิน รวมถึงการเป็นส่วนสำคัญในฐานะนักวางแผนที่ปูทางสู่การเติบโตของสายการบิน Emirates ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยเครื่องบิน 2 ลำในปี 1985 จนสามารถดันให้ Emirates เป็นสายการบินระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

พ่อของเซอร์ ทิมเป็นกัปตันเรือบรรทุกน้ำมัน ดังนั้นการเดินทางทั้งทางน้ำและในอากาศจึงอยู่ในสายเลือดของเซอร์ ทิม ผู้ซึ่งชอบการล่องเรือเป็นงานอดิเรก แม้ว่าเชื้อชาติครอบครัวจะมาจากเบอร์มิงแฮม แต่เด็กชายทิมเติบโตในอารูบาแห่งทะเลแคริบเบียน จากนั้นก็ใช้ชีวิตในต่างประเทศอย่างมีความสุขกับการเลี้ยงดูที่ค่อนข้างเป็นสากล เจ้าหนูทิมหลงใหลในทุกสิ่งเกี่ยวกับการบินตั้งแต่ตอนที่ได้อาศัยอยู่ในเกาะบอร์เนียวที่มาเลเซีย เมื่ออายุ 5 ขวบ ทิม คลาร์ก ผูกใบปาล์มไว้ที่แขนและพยายามบิน

 

ไม่กี่ปีถัดมา หนุ่มน้อยทิมมักจะเดินทางคนเดียวในฐานะผู้เยาว์ที่เดินทางโดยลำพังระหว่างอังกฤษกับพื้นที่ห่างไกลหลายแห่ง แม้ในวัยเด็ก คลาร์กมีความทรงจำที่ละเอียดถี่ถ้วนสำหรับรายละเอียดเล็กน้อยของการตกแต่งภายในเครื่องบินที่ใช้ในยุคทองของการเดินทางทางอากาศ ข้อมูลจากความทรงจำที่แม่นยำที่สุด ทิม คลาร์กเผยกับสื่อต่างประเทศว่า เที่ยวบินแรกของเขาเกิดขึ้นในปี 1960 บนเครื่องบิน Boeing 707 ของ Air India

 

หลังจากจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ เซอร์ทิมได้งานแรกกับสายการบินเอกชนอิสระ British Caledonian (BCal) การทำงานที่เคาน์เตอร์เช็กอินที่ลอนดอน/แกตวิก ทำให้เซอร์ ทิมได้เห็นยุคแรกของธุรกิจการบินราคาประหยัดที่ไม่มีการจอง และคนที่พลาดเที่ยวบินจะได้สิทธิ์อยู่หัวแถวของเที่ยวบินในวันรุ่งขึ้นแบบไม่ต้องกังวล 

 

ความทึ่งนี้ทำให้หนุ่มทิมในวัย 22 ปีไม่มีความสุขกับ BCal และรู้ทันทีว่า “สิ่งนี้คงอยู่ไม่ได้ ทั้งหมดนี้ผิด มันไม่ยั่งยืนในอีก 20 ปีข้างหน้า” โดยทิมให้สัมภาษณ์ว่า นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจลาออก และไปทำงานที่สายการบินอายุน้อยและมีปัญหาในบาห์เรน ชื่อว่า Gulf Air

 

 

ประสบการณ์ที่ BCal ทำให้หนุ่มทิมรู้จักธุรกิจการบินในระดับลูกค้าสัมพันธ์ แต่ทิมอยู่กับสายการบินนี้ได้เพียง 2-3 ปี เพราะการไม่ได้รับโอกาสให้มีส่วนร่วมวางแผนแก้วิกฤตอย่างเต็มที่ เวลานั้นธุรกิจสายการบินเข้าสู่ปีแห่งวิกฤต เพราะการเกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลในปี 1973 ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น 4 เท่า และทำให้สายการบินต่างๆ ทั่วโลกเริ่มเลือดไหลแทบหมดตัว ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ตามมาทำให้ความต้องการเดินทางลดลงอย่างมาก และสายการบินอย่าง BCal ต้องลดต้นทุนและปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อให้แน่ใจว่าจะอยู่รอดได้

 

ในฐานะนักวางแผนหนุ่ม เซอร์ ทิม มุ่งหน้าสู่ตะวันออกกลางเพื่อรับตำแหน่งใหม่กับ Gulf Air ซึ่งเป็นสายการบินที่กำลังเติบโต แต่ต้องการการวางแผนกลยุทธ์ ตรงนี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในอาชีพการงานของดาวรุ่งอย่างคลาร์ก เพราะมีส่วนร่วมได้มากขึ้น เร็วกว่า และมีความหมายมากกว่าที่เคยเป็น ทำให้อีก 10 ปีต่อมา Gulf Air ก็กลายเป็นสายการบินระดับโลก

 

ระหว่างที่เซอร์ ทิมเข้าร่วมกับ Gulf Air ในปี 1975 และจากไปในปี 1985 สายการบิน Gulf Air มีความเปลี่ยนแปลงชัดเจน บริษัทเช่าฝูงบินลำใหญ่ทันสมัยและมีความสามารถมากขึ้น และขยายเครือข่ายไปยังเมืองต่างๆ เช่น อัมสเตอร์ดัม, กรุงเทพฯ, เดลี, ฮ่องกง และปารีส สายการบินเข้าร่วมกับ IATA ในปี 1981 ตอกย้ำสถานะการเป็นแบรนด์ระดับโลก

 

ผลงานนี้ทำให้เซอร์ ทิมได้รับการทาบทามจากผู้นำในดูไบให้ย้ายเข้ามาและช่วยเหลือสายการบินขนาดเล็กในพื้นที่ และในขณะนั้น Gulf Air กำลังพยายามที่จะโอนสัญชาติ และคลาร์กรู้ว่างานของตัวเองจะต้องตกอยู่ในความเสี่ยงอีกครั้ง คลาร์กจึงตอบเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวางแผนให้สายการบินใหม่นี้ในช่วงฤดูร้อนปี 1983 ซึ่งเดือนตุลาคมปีนี้เองที่สายการบิน Emirates เริ่มทำการบินครั้งแรก

 

 

คลาร์กให้สัมภาษณ์กับ simpleflying.com ว่า Emirates เกิดขึ้นในเวลานั้น และ “ผมก็อยู่กับมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”

 

เซอร์ ทิมเล่าว่าทีมของเขาเป็น ‘ทีมเล็กๆ’ ที่ถูกนำเข้ามาเพื่อเติมชีวิตชีวาให้กับ Emirates ภายใต้การดูแลของ มอริซ ฟลานาแกน (​​Maurice Flanagan) อดีตผู้บริหารสายการบินBritish Airways, Gulf Air และ BOAC ซึ่งตอนนั้นมีผู้เดินทางเพียง 10 คนเท่านั้นที่มาถึงดูไบเพื่อเปิดตัวสายการบินใหม่นี้

 

งานที่ Emirates ไม่ใช่เรื่องง่าย ทิม คลาร์ก เทียบว่าเวลานั้นเป็นเหมือนกระดาษว่างเปล่าแผ่นเดียว ไม่มีเงินหนา มีเพียงเงินสด 10 ล้านดอลลาร์ที่ทีมจะต้องสร้างสายการบิน และรวบรวมกลุ่มคนที่เชี่ยวชาญในทุกสาขาตามที่วางแผนไว้ สิ่งที่ทีมงานทำคือการเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าอะไรเป็นไปได้ และอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับสายการบินใหม่นี้ ซึ่งในเวลานั้นถูกจำกัดอย่างมากในแง่ของการเข้าถึงตลาดระดับภูมิภาค

 

เซอร์ ทิม คลาร์ก อธิบายในภายหลังว่า ได้คิดกับตัวเองว่า Emirates จะต้องไปต่างประเทศอย่างรวดเร็ว และมั่นใจว่าสามารถทำได้ เพราะการแข่งขันในเวทีนั้นน้อยมาก นอกจากนี้ ตัวเขายังเป็นผู้ศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ในกระแสโลกาภิวัตน์ แม้ในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 ดังนั้น Emirates จึงเริ่มซื้อเครื่องบิน A310 และก้าวเข้าสู่ตลาดต่างประเทศอย่างรวดเร็ว โดยอิงจากผลิตภัณฑ์และบริการ ซึ่ง Emirates ไม่เคยและจะไม่เบี่ยงเบนไปไหนอย่างแน่นอน

 

“มันเป็นเพียงประเด็นเรื่องปริมาณ ยิ่งเราทำมากเท่าไร เห็นได้ชัดว่ารูปแบบธุรกิจนี้ไปได้ดีบนหลังกระแสโลกาภิวัตน์ที่เริ่มขึ้นในช่วงปลายยุค 80 กลางทศวรรษที่ 90” เซอร์ ทิมให้สัมภาษณ์ไว้ถึงความสำเร็จของโมเดลนี้ ที่เห็นชัดในช่วงขวบปีแรกๆ ที่สายการบิน Emirates เปิดทำการ จนทำให้กำไรของ Gulf Air ลดลง 56% และล้มเลิกแผนการโอนสัญชาติ รวมถึงเข้าสู่ภาวะขาดทุนในปี 1986

 

ในปี 2003 ทิม คลาร์ก ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานของสายการบิน Emirates หลังจากใช้เวลาเกือบ 18 ปีในการสร้างอาณาจักรสายการบิน แน่นอนว่า Emirates ไม่ได้พลิกโฉมแค่อุตสาหกรรมการบินเท่านั้น แต่สามารถเปลี่ยนแปลงดูไบด้วย จากเมืองทะเลทรายฝุ่นตลบที่มีประชากรไม่ถึง 400,000 คนในปี 1985 แต่เมื่อทิม คลาร์กขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน เมืองนี้ก็เติบโตขึ้นเพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยมากกว่าล้านคน และเป็นอัญมณีแห่งมงกุฎของตะวันออกกลาง โดยปัจจุบันมีผู้คนมากกว่า 3.4 ล้านคนอาศัยอยู่ในดูไบ

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำแนะนำของทิม คลาร์กเกี่ยวกับนโยบาย การออกแบบเครื่องบิน และการเดินทางระยะไกล ได้หล่อหลอมโลกการบินสมัยใหม่ให้เป็นไปอย่างที่นักเดินทางทราบกันดี ความเชี่ยวชาญเชิงลึกของสายการบินและเครื่องบินของทิม คลาร์ก บวกกับความตรงไปตรงมาที่เป็นมิตร และการไม่เคยอายที่จะแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ ทำให้ทิม คลาร์กกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอุตสาหกรรม จนได้รับพระราชทานยศอัศวินจากสหราชอาณาจักร

 

เสียงที่ไม่เหมือนใคร

เซอร์ ทิม คลาร์ก เป็นประธานสายการบินที่มีชื่อเสียงเรื่องการให้ความเห็นที่ไม่เหมือนใคร ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการแสดงความกังวล (อีกครั้ง) ถึงกรณีที่ผู้ผลิตเครื่องบินไม่ได้มุ่งเน้นผลิตเครื่องบินรุ่นที่มีความจุสูงขึ้น เช่น แอร์บัส A380 อีกต่อไป สำหรับเซอร์ ทิม เรื่องนี้จะเป็นปัญหาในอนาคต เนื่องจากสนามบินในส่วนต่างๆ ของโลก (เช่น ลอนดอน) จะไม่รองรับเที่ยวบินใหม่อีกต่อไป

 

 

สมมติฐานของทิม คลาร์ก คือจำนวนผู้โดยสารทั่วโลกจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอัตรา 4-6% ต่อปี ในขณะที่จำนวนช่องที่สนามบินยังคงจำกัด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีเครื่องบินขนาดใหญ่ แม้ว่าสายการบิน Emirates มีเครื่องบินแอร์บัส A380 จำนวน 118 ลำ โดยแต่ละลำจุผู้โดยสารได้เกือบ 500 คน (ในชั้นประหยัดพรีเมียม) แต่ทิม คลาร์กเชื่อว่าเมื่อเครื่องบินรุ่นเหล่านี้เก่าลง ก็จะไม่มีเครื่องบินรุ่นใดมาทดแทนได้

 

ข้อเสนอของเซอร์ ทิมนั้นหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ A380 ควรได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย ​​โดยมีปีกและลำตัวเครื่องบินประกอบ (ทำจากวัสดุที่ซับซ้อนและเบากว่า แต่แข็งแรงกว่า) รวมถึงเครื่องยนต์ที่ประหยัดกว่า ซึ่งสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้ 25% เมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน นอกจากนี้ เซอร์ ทิม คือคนเดียวที่ส่งเสียงว่า ‘ยินดีรับเครื่องบินที่ไม่มีหน้าต่าง’ เพราะ “ผมสามารถสร้างหน้าต่างแต่ละบานได้ด้วยกล้องดิจิทัล”

 

ในมุมมองของเซอร์ ทิม ประโยชน์ของการโละหน้าต่างคือ การขจัดน้ำหนักที่สะสมอยู่ในลำตัวเครื่องบิน คำพูดนี้วิจารณ์เครื่องบินอย่างเปิดเผยและชี้ให้เห็นความจริงที่ว่า บางสิ่งในเครื่องยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจาก Emirates แล้ว ยังไม่มีสายการบินอื่นใดในโลกที่ระบุว่ามีความต้องการเช่นนี้ ซึ่งทำให้สายการบิน Emirates อยู่ในสถานะที่ค่อนข้างพิเศษ

 

สำหรับช่วงเปิดประเทศหลังโควิด Emirates กำลังดึงกระแสให้ผู้คนนึกถึงเที่ยวบินเชิงพาณิชย์เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่มีเมนูอาหารหลายคอร์สสุดหรูหรา ซึ่งสวนทางกับที่นั่งคับแคบ และถุงถั่วขบเคี้ยวที่นักเดินทางมักต้องทำใจให้ชิน โดยสายการบิน Emirates ได้ประกาศการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อลดภาวะการเดินทางที่ตึงเครียดของผู้โดยสาร ทำให้การเดินทางครั้งใหม่ของผู้โดยสารเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานที่สุดอีกครั้ง

 

สัญญาณที่บอกถึงภาวะการเดินทางที่อาจตึงเครียดในช่วงหลังโควิดคือปัญหาการหยุดชะงักของซัพพลายในธุรกิจการบินที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว จึงทำให้สายการบินต่างๆ ต้องมองหาวิธีที่สามารถทำได้ เพื่อบริหารจัดการให้ดีขึ้นบนต้นทุนที่ไม่อาจปล่อยให้งอกเงยได้มากกว่านี้อีกแล้ว ซึ่งแม้จะขาดแคลนพนักงานและการสูญเสียเงินหมุนเวียนของสายการบินที่เกิดจากโรคระบาด แต่ความต้องการเที่ยวบินนั้นเกินเป้าในปี 2019 แล้ว แม้แต่ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา หลายสายการบินทำเงินได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 เดือน แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแง่ของการบริการ เช่น ตัวเลือกอาหาร บริการเสริม และที่นั่งบนเครื่องบินที่หลายคนรู้สึกเหมือนกำลังลดลง

 

แต่ Emirates ซึ่งเผชิญกับอุปสรรคการแพร่ระบาดเช่นเดียวกับสายการบินอื่น เลือกที่จะลงทุน 2 พันล้านดอลลาร์สำหรับเมนูใหม่ ให้สิทธิ์การขอรับจานหรูอย่างคาเวียร์แบบไม่อั้นในกลุ่มผู้โดยสารชั้นหนึ่ง การปรับปรุงที่นั่ง และบริการส่วนอื่นๆ ตรงนี้เซอร์ ทิม คลาร์ก ประธานสายการบิน Emirates กล่าวในแถลงการณ์ว่า ในขณะที่บริษัทอื่นตอบสนองต่อแรงกดดันในอุตสาหกรรมด้วยการลดต้นทุน แต่สายการบิน Emirates กำลังต่อสู้ด้วยการลงทุนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้า 

 

 

ดังนั้น Emirates จึงยังคงเปิดตัวบริการและความคิดริเริ่มใหม่ท่ามกลางการระบาด เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าสามารถเดินทางด้วยความมั่นใจและสะดวกสบาย รวมถึงจะเดินหน้าทำโครงการด้านดิจิทัลเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าภาคพื้นดินคู่ไปด้วย

 

ที่ผ่านมา สิ่งอำนวยความสะดวกที่โดดเด่นที่สุดของสายการบิน Emirates คือสปาอาบน้ำบนเครื่องบิน A380 ซึ่งเหมาะสำหรับการเติมความสดชื่นบนเที่ยวบินสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ยังมีบาร์และเลานจ์บนเครื่องบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบของ A380 ซึ่งมีให้สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ 

 

นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็นสายการบินเดียวที่มีข้อตกลงพิเศษในการเสนอแชมเปญสุดหรูยี่ห้อ Dom Pérignon บนเครื่องบิน ผู้โดยสารที่บินในชั้นหนึ่งจะมีไวน์ที่คัดสรรมาให้เลือกระหว่างเที่ยวบิน พวกเขายังมีเมนูอาหารตามสั่งซึ่งสามารถสั่งอาหารที่ปรุงโดยเชฟได้ทุกเมื่อบนเที่ยวบิน ซึ่งรวมถึงตัวเลือกมังสวิรัติด้วยส่วนผสมที่มาจากฟาร์มของ Emirates เอง และเมนูของว่างสไตล์โรงภาพยนตร์ เช่น ป๊อปคอร์น และเบอร์เกอร์

 

สายการบิน Emirates เพิ่งได้รับ 3 รางวัลจาก Skytrax World Airline Awards 2022 ให้เป็นสายการบินที่มีชั้นประหยัดที่ดีที่สุดในโลก มีอาหารจัดเลี้ยงในชั้นประหยัดที่ดีที่สุดในโลก และมีระบบความบันเทิงบนเที่ยวบินที่ดีที่สุดในโลกเป็นครั้งที่ 17 ติดต่อกัน ระบบความบันเทิงที่มีช่องมากกว่า 5,000 ช่อง รวมถึงภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ รายการฮิตจาก HBO Max กีฬาสด พอดแคสต์ และเพลง 

 

การลงทุนมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ของ Emirates เป็นเครื่องยืนยันถึงการทำตามคำมั่นสัญญาของแบรนด์ที่ว่า ‘Fly Better’ การบินที่ดีกว่านี้ รวมถึงการปรับปรุงเพิ่มเติมของสายการบินที่มีกำหนดเสร็จสิ้นในเดือนเมษายน 2025 เช่น การติดตั้งที่นั่งชั้นประหยัดพรีเมียม (Premium Economy) 4,000 ที่นั่ง การปรับที่นั่งชั้นธุรกิจกว่า 6,000 ที่นั่งให้เป็นดีไซน์ใหม่ ขณะที่ห้องชุดสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งจะได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน

 

ก้าวถัดไปของเซอร์ ทิม

เซอร์ ทิม คลาร์ก ระบุว่าจะยังคงทำหน้าที่ ‘ซัพพลายเออร์’ เพื่อผลักดันสิ่งที่ดีขึ้นต่อไป ไม่เพียงแต่สำหรับสายการบิน แต่สำหรับผู้โดยสารด้วย 

 

ก่อนหน้านี้ เซอร์ ทิม คลาร์ก ประกาศลาออกจากตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2019 แม้ว่าวันลาจากตำแหน่งจะถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากโรคระบาด แต่การถอยออกจากสายการบิน Emirates ก็ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ ตัวเขาวางแผนจะคอยให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลดูไบในเรื่องการบินในอนาคต ขณะเดียวกันก็จะเข้าร่วมโครงการพิทักษ์สัตว์ป่า United for Wildlife ซึ่งดำเนินมาหลายปีแล้ว และทิม คลาร์ก คิดว่าอยากจะมีส่วนร่วมมากกว่านี้

 

แม้จะได้รับข้อเสนอให้เข้ารับตำแหน่งในระดับคณะกรรมการ แต่ทิม คลาร์กปฏิเสธเพราะกำลังพยายามรักษาสมดุลให้ชีวิตในวัย 71 ปี บนความเห็นตรงไปตรงมาว่า “ผมมีเวลาเหลือไม่มากที่จะทำงานหนักขนาดนั้น” 

 

เป็นความเห็นที่สมเป็น ‘เซอร์ ทิม คลาร์ก’ ประธาน Emirates ผู้คิดและทำแบบสวนทางทุกสายการบิน

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising