วันนี้ (8 มิถุนายน) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ นัดฟังคำพิพากษา คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.180/2564 ที่อัยการฝ่ายคดีอาญาทุจริต 3 เป็นโจทก์ และมี จันทร์จิรา ธนะพัฒน์ เป็นโจทก์ร่วมที่ 1 จักรกฤษณ์ กลั่นดี โจทก์ร่วมที่ 2 ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง
- พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร (ผกก.สภ.) เมืองนครสวรค์
- พ.ต.ต. รวีโรจน์ ดิษทอง สารวัตรสืบสวน (สว.สส.)
- ร.ต.อ. ทรงยศ คล้ายนาค รองสารวัตรปราบปราม (รอง สวป.)
- ร.ต.ท. ธรณินทร์ มาศวรรณา รองสารวัตรปราบปราม (รอง สวป.)
- ด.ต. วิสุทธิ์ บุญเขียว ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม
- ด.ต. ศุภากร นิ่มชื่น ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม
- ส.ต.ต. ปวีณ์กร คำมาเร็ว ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม
ทั้งหมดเป็นจำเลยที่ 1-7 ตามลำดับในฐานความผิด 4 ข้อหา เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย และร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157, 288, 289 (5), 309 วรรค 2 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4, 172
สืบเนื่องจากกรณีที่จำเลยทั้ง 7 คนร่วมกันใช้ถุงดำคลุมหัวขณะสอบสวน จิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิต ซึ่งถูกจับและควบคุมตัวไว้ในคดียาเสพติด เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 4-6 สิงหาคม 2564 ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์
โดยในวันนี้โจทก์ และโจทก์ร่วมที่ 1-2 ทนายโจทก์ร่วมที่ 1-2 ทนายจำเลยเดินทางมาศาล ซึ่งศาลได้ใช้วิธีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม สถานที่คุมตัวจำเลย 1-7
ต่อมาเวลา 11.25 น. ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษา จำเลยที่ 1-5, 7 ว่าได้กระทำความผิดตามฟ้อง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษทุกกระทงความผิด โดยให้ลงโทษตามมาตรา 289 (5) ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและกระทำด้วยการทรมานทารุณโหดร้ายฯ ซึ่งเป็นโทษหนักสุดตามมาตรา 90 ตัดสินลงโทษประหารชีวิต
ส่วน ด.ต. ศุภากร จำเลยที่ 6 ที่ปรากฏพฤติการณ์เข้าไปในที่เกิดเหตุ แต่เมื่อเห็นการกระทำของจำเลยคนอื่นและได้เดินออกจากห้องไป จึงมีความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด ให้ลงโทษจำคุก 8 ปี
อย่างไรก็ตามจำเลย 1-7 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีการให้เงินค่าปลงศพ 30,000 บาท มอบเงินบรรเทาผลร้ายให้บิดามารดาผู้ตายคนละ 300,000 บาท และช่วยปฐมพยาบาลและนำส่งไปโรงพยาบาล จนแพทย์สามารถกู้สัญญาณชีพกลับมาได้ จึงพิจารณาลดโทษให้จำเลยคนละ 1 ใน 3 จำเลยที่ 1-5, 7 จำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 6 คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน
ส่วนเรื่องที่โจทก์ร่วมทั้ง 2 เรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้ง 7 เป็นจำนวนเงินรวม 1,550,000 บาท ศาลเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทั้ง 7 อยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ จึงมิอาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ แต่โจทก์ร่วมสามารถฟ้องแพ่งย้อนกลับไปที่ต้นสังกัดของจำเลย คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความรับผิดการละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ได้
โดยบรรยากาศผ่านจอภาพคอนเฟอเรนซ์ทางฝั่งเรือนจำกลางคลองเปรม พ.ต.อ. ธิติสรรค์ ผู้สื่อข่าวสังเกตว่ามีลักษณะร่างกายสมบูรณ์ สีหน้าก่อนอ่านคำพิพากษาไม่แสดงถึงความวิตกกังวล และจัดตำแหน่งกล้องที่ส่งสัญญาณภาพด้วยตนเอง ทั้งนี้ ก่อนการเริ่มกระบวนการ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ได้สอบถามทางทนายผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์ว่าได้ยื่นบันทึกผลการทำงานตลอดช่วงการรับราชการประกอบไปกับแถลงการณ์ปิดคดีของตนแล้วหรือไม่
ในระหว่างรอการฟังคำพิพากษา พ.ต.อ. ธิติสรรค์ได้ก้มอ่านเอกสารตลอดเวลา และมีการพูดคุยกับจำเลยรายอื่นเป็นบางจังหวะ ทั้งนี้ ในขณะที่ผู้พิพากษากำลังจะเริ่มอ่านคำพิพากษาในช่วง 10.00 น. พ.ต.อ. ธิติสรรค์ได้ขออนุญาตอ่านแถลงการต่อศาล แต่ศาลได้ชี้แจงกลับว่าวันนี้เป็นการนัดฟังคำพิพากษาแล้ว ก่อนหน้าทางศาลได้รับคำแถลงการปิดคดีทั้งหมด 454 หน้า ซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดการปิดคดี คำแถลง และผลการทำงานในขณะที่รับราชการเป็นตำรวจ ซึ่ง พ.ต.อ. ธิติสรรค์ได้กล่าวกับศาลว่า อยากกล่าวขอโทษทุกคนและอยากอธิบายให้เข้าใจในสิ่งที่ทำ เพราะที่ผ่านมาทนายความของตนไม่เคยเดินทางมาพบที่เรือนจำ ตนไม่เคยเห็นคำแถลงปิดคดีของตัวเอง อย่างไรก็ตามศาลไม่อนุญาตให้อ่านแถลงการดังกล่าว เพราะศาลได้ทำการพิจารณารายละเอียดเรียบร้อย
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ศาลได้อ่านพฤติการณ์จากหลักฐานคลิปภาพว่า ระหว่างเกิดเหตุมาวินส่งเสียงร้องโอดโอยจากการถูกทรมาน จันทร์จิรามารดาของผู้เสียชีวิตได้ร้องไห้ และซับน้ำตาตลอดเวลา
โดยภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา จักรกฤษณ์ กลั่นดี บิดาของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า วันนี้ศาลอ่านคำพิจารณาโดยละเอียดมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ตนยังไม่เห็นคลิป อดีตผู้กำกับโจ้ได้เข้ามากอดพ่อกอดแม่แล้วร้องไห้ ซึ่งพอได้ฟังศาลอ่านพฤติการณ์อย่างละเอียด ก็รู้สึกคาดไม่ถึงว่าจะทำขนาดนี้ ส่วนเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหม หลังจากนี้จะดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายกับศาลแพ่ง ซึ่งตอนแรกได้คำนวณค่าเสียหายจากการที่หากมาวินมีชีวิตอยู่อีก 10 ปี จะสามารถดูแลครอบครัวได้เป็นเงิน 1.5 ล้าน แต่มีทนายความมาแนะนำว่าให้เพิ่มวงเงินจึงขอปรึกษากันก่อน
บิดาของมาวินระบุอีกว่า ระหว่างฟังคำพิพากษาวันนี้ ได้เห็นท่าทีของจำเลย ก็คิดว่าเขาคงคิดว่าทำในสิ่งที่คิดว่าถูกแล้ว ซึ่งตนเข้าใจในการทำงาน แต่เมื่อพลาดพลั้งไปแล้ว และมีการรวมกลุ่มกันก็น่าจะห้ามปราม ไม่ใช่ร่วมกันทำให้บอบช้ำทั้งตัว
ส่วนโทษที่ศาลตัดสินในวันนี้ ส่วนตนพอใจแล้ว และคงจะไม่สู้ต่อในชั้นต่อไป เพราะมองว่าไม่อยากจะไปอาฆาตกัน
ส่วนการบรรยายของศาลวันนี้มีช่วงที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจคือ การเพิ่มจำนวนถุงดำเรื่อยๆ และปิดรัดแน่นจนลูกชายไม่มีอากาศหายใจ แม้พยายามจะปั๊มหัวใจแต่ลูกชายตนก็ไปแล้ว อีกทั้งยังสะเทือนใจตอนที่ศาลบอกว่า จำเลยมีการเอากุญแจมือมาใส่ที่เท้าของลูกชายด้วย ซึ่งตอนที่ฟังแม่ก็ยืนร้องไห้ อยากให้จำเลยได้รับบทเรียน สิ่งที่ทำไปต้องชดใช้
ส่วนตำรวจที่เป็นผู้ติดตั้งกล้องวงจรปิด เจ้าของหลักฐานตนเคยเจอหนึ่งครั้ง ได้บอกกับตนว่า ขอโทษที่ช่วยน้องไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จึงต้องนำคลิปออกมาเผยแพร่ ซึ่งตนก็อยากจะเจอกับตำรวจคนนี้อีกครั้งหนึ่งเพื่อขอบคุณ กรณีการเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ต้องไปฟ้องร้องเรียกกับหน่วยงานต้นสังกัดของจำเลยนั้น ตนขอปรึกษากันกับทนายความก่อน
ด้าน จันทร์จิรา ธนะพัฒน์ มารดาของมาวินระบุว่า วันนี้ตนไม่รู้ว่าจำเลยสำนึกจริงหรือไม่ แต่แม่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำให้ลูกแม่ตายแบบนี้ แต่ส่วนตัวแม่อยากให้ลงโทษประหารชีวิต เพราะจากที่ฟังศาลบรรยาย พฤติการณ์มันยิ่งกว่าที่ตนเคยดูคลิป ฟังแล้วรับไม่ได้ จึงอยากให้ประหาร แลกกับชีวิตลูกตน