×

The Yers ส่วนผสมระหว่างการเอาชนะ หักหลัง และน้ำตา ในอัลบั้ม Cry

29.08.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 MINS READ
  • Cry คืออัลบั้มเต็มชุดที่ 3 ของ The Yers ที่เพลงเกือบทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากหยดน้ำตาของอู๋นักร้องนำ
  • The Yers มีความเชื่อว่า เมื่อซ้อมฝีมืออย่างหนักไปจนถึงจุดหนึ่ง จะถึงจุดที่ไม่ต้องการเล่นให้เก่งขึ้น แต่พวกเขาเลือกใช้เวลาไปกับการศึกษาและค้นหาไอเดียที่จะนำมาพัฒนาผลงานเพลงต่อไป
  • พายุหมุน และ เกลียด คือเพลงที่อู๋แต่งขึ้นมาเพื่อเอาชนะเพลงเพลงหนึ่งที่เขาเคยแต่งเอาไว้แต่ถูกปฏิเสธไปก่อน

สำหรับบางคนน้ำตาคือหลักฐานแห่งความอ่อนแอที่ลูกผู้ชายไม่ควรแสดงออกมาให้เห็น แต่ไม่ใช่กับ 4 หนุ่ม อู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ (ร้องนำและกีตาร์), ต่อ-พนิต มนทการติวงค์ (กีตาร์), โบ๊ท-นิธิศ วารายานนท์ (เบส) และบูม-ถิรรัฐ ภู่ม่วง (กลอง) แห่งวง The Yers ที่เลือกใช้น้ำตา และอีกหลายเรื่องที่ทำให้พวกเขาผิดหวังมาถ่ายทอดเป็น 11 เพลงแห่งความเศร้า ในสตูดิโออัลบั้มชุดสามที่ชื่อว่า Cry

 

หากติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขามาตลอดจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นในอัลบั้มนี้ ตั้งแต่เนื้อเพลงที่เปลี่ยนจากการเขียนเพลงเพื่อ ‘คนอื่น’ ในอัลบั้มสองที่ชื่อว่า You มาเป็นการหยิบเอาความเสียใจที่เกิดขึ้นจากตัวอู๋เป็นแรงขับเคลื่อน รวมทั้งแนวดนตรีที่เปลี่ยนจากสไตล์ร็อกดุดัน มาเป็นดนตรีอะคูสติกที่ทำเอาแฟนๆ ประหลาดใจไปตามๆ กัน

 

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากความคะนองอยากสนุก แต่มาจากการที่พวกเขาใช้ประสบการณ์ทั้งหมดครุ่นคิดมาเป็นอย่างดี โดยมีพื้นฐานมาจากการชอบแข่งขัน เอาชนะ และชอบที่จะหักหลังคนฟังอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเพลง พายุหมุน และเพลง เกลียด ที่ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นเพลงฟังสบาย แต่ถูกกลั่นออกมาจากความผิดหวังในวงการเพลงที่ติดอยู่ในใจเขามาเป็นเวลาหลายปี

 

 

Cry อัลบั้มที่สร้างจากน้ำตาลูกผู้ชาย

 

อู๋: อัลบั้มที่แล้วชื่อ You เพราะส่วนใหญ่เป็นเพลงที่แต่งให้คนอื่น แต่อัลบั้มนี้คือเพลงที่สร้างจากตัวผมเอง มาจากเรื่องที่ผมร้องไห้กับมัน น้ำตาคือสิ่งที่ขับเคลื่อนอัลบั้มนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งตอนทำอัลบั้มนี้ที่เราต้องเจอกับคนที่ทำให้เราผิดหวังและร้องไห้อยู่เสมอ   

 

ต่อ: พวกเราไม่ได้เห็นอู๋ร้องไห้นะครับ เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยมีใครได้เห็นน้ำตาของเพื่อนร่วมวงกันเท่าไร แต่แค่ฟังจากเพลงที่อู๋ทำมา ก็พอรู้ได้ว่าเขาเสียน้ำตาให้กับเพลงเยอะ มันมีความเสียใจแทรกเข้ามาอยู่ในทุกเพลงของอัลบั้มนี้เลย  

 

บูม: The Yers น่าจะเป็นเพื่อนที่รู้ว่าแต่ละคนมีปัญหาอะไร แต่ไม่ค่อยอยากให้ใครเห็น ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราเสียใจ กลัวโดนล้อ (หัวเราะ) เลยเลือกเก็บไว้คนเดียวมากกว่า อีกอย่างคือผมไม่อยากเอาปัญหาของตัวเองไปโยนให้คนอื่นรับรู้ บางครั้งเรารู้ว่าไปร้องไห้ใส่ใครเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพียงแค่เราอยากระบายเฉยๆ แล้วทุกคนล้วนมีปัญหามากพออยู่แล้ว ถ้าเราจะโยนปัญหาที่เขาไม่สามารถช่วยได้อีกมันก็ไม่ค่อยแฟร์เท่าไร

 

โบ๊ท: แต่ทุกคนร้องไห้เหมือนกัน เต็มที่ก็ปรึกษากัน แต่ไม่ถึงขนาดฟูมฟาย ร้องไห้ กูไม่ไหวแล้วอะไรแบบนั้น

 

อู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์

 

บทเพลงจากคนใจเสาะ

 

อู๋: ถ้าดูกันเผินๆ พวกเราจะเหมือนคนแข็งแกร่งมากเลย เข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงอะไรออกมา แต่จริงๆ แล้วผมเป็นคนใจเสาะมาก ถ้าเจออะไรเข้ามากระทบผมจะอ่อนไหวกับอะไรที่มันไม่ควรดราม่ามากๆ แต่ก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นข้อดีของคนที่ทำงานศิลปะ และผมใช้ความรู้สึกพวกนี้ในการแต่งเพลง

 

เวลาผมเจอเรื่องอะไร ผมจะไม่สนใจใครทั้งนั้น จะจมอยู่กับความรู้สึกนั้น อยู่กับมันไปเลย ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องสู้ได้หรือไม่ได้ด้วยนะ แต่ไปให้สุด มึงด่ากูใช่ไหม งั้นกูจะเกลียดมึง และจำมึงไว้ตลอดว่าทำให้กูเสียใจ ซึ่งเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะครับ โดนที่บ้าน โดนแฟนว่าตลอดว่าทำไมเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เคยพยายามเหมือนกัน แต่สุดท้ายมันจะคิดลบโดยอัตโนมัติ

 

แต่เพื่อให้คนรอบข้างไม่เป็นห่วงมาก ผมจะแบ่งความรู้สึกเป็น 2 ท่อ สมมติเวลาผมบ่นๆๆ แล้วเพื่อนบอกว่า เฮ้ย มึงพอเถอะ มันผ่านไปแล้ว ผมก็จะบอกว่าโอเค ไม่เป็นไร แต่ในใจจะคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะต้องเอาชนะมันให้ได้ เราเก็บอารมณ์และเหตุผลตรงนี้ตุนเอาไว้ พอจะเขียนเพลงก็ค่อยดึงความรู้สึกจากท่อที่ไม่ดีอันนี้ขึ้นมา แล้วเราจะรู้สึกได้เมื่อเราสร้างเพลงจากก้อนแย่ๆ พวกนั้น โดยมีคนร่วมอุดมการณ์คือแฟนเพลง แล้วผมรู้สึกดีขึ้นโดยที่คนคนนั้นอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่าผมเอาชนะเขาได้แล้ว (หัวเราะ)

 

โบ๊ท: ของผมเป็นคล้ายๆ กันนะ แต่ไม่ได้เอาความรู้สึกแย่ไปสร้างงาน แต่เอามาใช้เมื่อเราเจอความผิดหวัง ความเสียใจ ผมจะจำเอาไว้ว่าทำแบบนี้แล้วเสียใจ เราจะพยายามไม่ทำกับใครอีก รับรู้ว่าไม่ดี ก็ไม่ทำต่อ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมยึดมาตลอด

 

ซ้อมน้อย แต่ต้องศึกษาให้หนัก

 

อู๋: ส่วนพาร์ตดนตรีผมจะไม่เอาความรู้สึกแย่ไปใส่ แต่มาจากความคิดว่าเราจะตอกหน้าคนอื่นได้อย่างไรมากกว่า พูดตรงๆ เลยนะ ในเมื่อดนตรีประเภทนี้กำลังฮิตอยู่ ชอบอะไรอย่างนี้มากใช่ไหม งั้นกูเล่นอีกแบบหนึ่ง แต่กูจะทำให้รู้ว่าอีกแบบหนึ่งก็สามารถไปในทางของมัน และสามารถเทียบเท่ากับสิ่งที่พวกมึงชอบได้นะ ยกตัวอย่างเพลง เสพติดความเจ็บปวด ที่คนด่าผมเพียบเลยว่าใส่เสียงคองก้าเข้าไปทำไม ผมชอบเพลงพี่นะ แต่ไม่ชอบเสียงนี้เลย ผมรู้ว่าคนเกลียด แต่ผมจะยัดเข้าไปให้ได้ แล้วผมก็พิสูจน์ให้รู้ว่าฟังไปอีกสัก 5 รอบสิ แล้วจะรู้ว่าคองก้าเข้ากับเพลงนี้อย่างไร

 

เพลง เสพติดความเจ็บปวด ของ The Yers

 

กับอีกอย่างคือแนวคิดของ The Yers ตั้งแต่แรกที่ว่าเราจะโชว์ความโง่ในการเล่นดนตรีของเราอย่างไรให้ได้มากที่สุด แล้วผลลัพธ์ออกมาเทียบเท่ากับที่คนเก่งเขาเล่น เราจะยืนหยัดว่าระหว่างการซ้อม 8 ชั่วโมงกับการไม่ซ้อมเลยมันสามารถทดแทนกันได้ด้วยการใช้ไอเดีย  

 

บูม: ไม่ได้หมายความว่าไม่ซ้อมเลยนะ ก่อนมาถึงจุดนี้พวกเราผ่านการซ้อมหนักมาเหมือนทุกคน แต่มันไปถึงจุดที่เรารู้สึกพอใจกับสิ่งที่พวกเราทำได้แล้ว เราโอเคกับมาตรฐานของเราที่ไม่จำเป็นต้องเล่นให้เก่งไปกว่านี้ เพียงแต่เรารู้ว่าจะเอาสกิลที่มีอยู่ของเราไปใส่ในจุดที่เหมาะสมตอนไหน แล้วเอาเวลาไปคิดว่าจะหาไอเดียอะไรมาพัฒนาเนื้อหาของดนตรีแทน

 

โบ๊ท: เราชอบเวลาคุยกันว่าจะเลือกเครื่องดนตรีไหน ซาวด์แบบไหนให้เหมาะกับเรา เหมือนเวลาฟังคนที่เขาพูดในเรื่องที่อินและเหมาะกับตัวเอง แล้วจะรู้สึกว่ามันมีพลังมากขึ้น อย่างผมเองรู้ตัวว่าเล่นเบสไม่เก่ง ก็ขอใช้เบสเท่ๆ หน่อยแล้วกัน แอ็กเยอะๆ หน่อย อย่างน้อยให้ภาพให้เสียงมันแตกต่างกับคนที่เขาเล่นเก่งๆ แล้วกลายเป็นเอกลักษณ์ที่คนจำได้ ซึ่งผมคิดว่าทุกคนในวง The Yers ทำตรงนี้ได้ดีทุกคน

 

อู๋: ผมเลือกเอา 8 ชั่วโมงในการซ้อมไปศึกษาเรื่องอื่นที่ไม่ใช่สกิล ดูว่าเทรนด์ดนตรีคืออะไร แวดวงเราเป็นอย่างไร วงสมัยใหม่เล่นไปถึงไหนแล้ว วงที่เขาไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้มีสาเหตุจากอะไร แล้วหาบางอย่างมาเป็นตัวขับเคลื่อนในเพลงของตัวเอง ถ้าเจอเพลงไหนที่เรารู้สึกว่าไม่เจ๋ง ก็ขับเคลื่อนว่าขอเวลาแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวจะได้รู้ว่ามันควรเป็นอย่างไร เวลาเจอเพลงที่เจ๋งก็จะเครียดว่า ทำไมกูคิดไม่ได้แบบนี้ แม่งกินส้มตำเหมือนกู อยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน บ้านก็ใกล้กัน ทำไมเจ๋งจังวะ ศึกษาให้หนักแล้วก็มาหาวิธีคิดเพื่อหามุกต่อแล้วทำเพลงให้เทียบเท่าหรือดีกว่านั้น

 

ผมเกลียดเสมอเวลาคนชอบพูดว่า ถ้าอยากเก่ง อยากประสบความสำเร็จ จงหมั่นซ้อม ซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม ถามหน่อยว่าซ้อมไปแล้วใครจะเห็น ผมจะพูดกับน้องๆ หรือนักเรียนเสมอว่า ถ้ามั่นใจว่าซ้อมมาดีถึงจุดหนึ่ง ไม่ต้องซ้อมแล้วก็ได้ สิ่งที่ต้องการคือไอเดียและความเป็นตัวเอง วงการนี้ไม่ได้แข่งกันที่โซโล่ได้เร็วขนาดไหน แต่เปลี่ยนทางคอร์ดได้เยอะหรือเปล่า มันแข่งขันกันว่าใครจะสามารถสื่อสารกับคนฟังได้มากน้อยแค่ไหน ในขณะที่ยังคงตัวตนเอาไว้ได้อยู่

 

บูม-ถิรรัฐ ภู่ม่วง

 

ถ้าโลกนี้มีคนเก่งในแนวนั้นแล้ว 100 คน มีความจำเป็นอะไรที่เราต้องเป็นคนที่ 101

 

อู๋: อย่างที่บูมบอกว่าพวกเราผ่านจุดฝึกซ้อมมาเยอะประมาณหนึ่ง แล้วคิดว่าถ้าให้เวลาผมฝึกซ้อมสกิลที่ไม่เคยฝึกอย่าง Tapping หรือ Sweep Picking ให้เก่งไปเลย ขอเวลา 1 เดือน ใช้เวลาวันละ 8 ชั่วโมงไปซ้อมก็ทำได้นะ แต่ผมเลือกไม่ทำเพราะมันซ้ำ ผมจะเล่นไปเพื่ออะไรในเมื่อมีคนทำแบบนั้นได้เป็นร้อยๆ พันๆ คนแล้วในประเทศนี้

 

ผมคิดว่าคนหนึ่งที่ฉลาดมากคือ The TOYS (ธันวา บุญสูงเนิน) ทอยเล่นกีตาร์เก่งฉิบหายเลยนะ แต่พอทำเพลงตัวเองเขาไม่เล่นอะไรแบบนั้นเลย เพราะไม่มีใครอยากฟังแล้ว ลองไปดูสิครับว่ามีแชมป์กีตาร์ Overdrive คนไหนดังเท่าทอยหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ทอยมีฝีมือมากพอที่จะใส่อะไรลงไปในเพลงก็ได้มหาศาล แต่เขาเลือกไปใส่กับการเล่นสด ไปใส่ในอย่างอื่นที่ถูกที่ถูกเวลา แต่เขาจะไม่โชว์โซโล่ 8 นาทีในเพลงเพื่อให้คนรำคาญเล่นแน่ๆ

 

บูม: เราเลยจุดที่ต้องคิดว่าเราเก่งหรือไม่เก่งไปแล้ว เพราะตอนนี้เราแฮปปี้กับสิ่งที่เราเล่นดนตรีแบบนี้แล้วมีความสุข เราเลยไม่ได้คิดว่าต้องเก่งขึ้นไปเพื่ออะไร

 

ต่อ: มีแฟนเพลงเคยมาถามผมว่าโชว์การเล่นแบบ Sweep Picking ให้ดูหน่อย ผมกล้าบอกเลยว่าไม่ได้ครับ (หัวเราะ) แล้วไม่อายด้วยที่จะบอกว่า เออ ไม่ได้ซ้อมมาเลย

 

โบ๊ท-นิธิศ วารายานนท์

 

The Yers คือวงดนตรีที่ The Yers ชอบที่สุด

 

โบ๊ท: พูดถึงเรื่องฝีมือก่อนนะ คิดง่ายๆ เฉพาะในค่ายจีนี่ เรคคอร์ด ไม่ว่าจะเทียบกับใครก็ตามเราอยู่ต่ำสุดแน่นอน (หัวเราะ) เอาจริงๆ เวลามีคนมาชมว่าชอบซาวด์ของพวกเราอย่างโน้นอย่างนี้ บางทีก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนะ เพราะในความรู้สึกของเรา เขาเหนือกว่าพวกเรามากจริงๆ

 

อู๋: แต่ถ้าไม่นับเรื่องฝีมือ ด้วยความที่ผมอีโก้สูงด้วยนะครับ The Yers ไม่ใช่วงดนตรีที่เจ๋งที่สุดหรอก แต่รู้สึกว่าเพลงในเมืองไทยที่ชอบที่สุดคือเพลงของเราเอง เพราะเราทำทุกอย่างโดยคิดถึงสิ่งที่พวกเราชอบที่สุดอยู่แล้ว พูดกันแบบซื่อๆ เลย เราชอบดนตรีแบบนี้ ชอบซุ่มเสียงแบบนี้ ชอบวิธีการเล่นแบบนี้ แล้วเชื่อมาตลอดว่าวิธีการเล่นแบบนี้ต้องดีที่สุด ต้องเจ๋งที่สุด

 

มีเพลงของศิลปินคนอื่นที่เราชอบทั้ง Srirajah Rockers, Slur, Goose และวงอื่นๆ อีกหลายร้อยเพลงมากเลยนะ และใฝ่ฝันว่าเราอยากเจ๋งแบบเขา แต่เราไม่ได้เป็นแบบเขาทั้งหมด แต่ละคนเจ๋งในแบบของตัวเอง ตอนที่ตั้งวง The Yers ก็มาจากความรู้สึกอยากให้ประเทศไทยมีสักวงที่มีซาวด์แบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ ร้องแบบนี้ ทัศนคติแบบนี้ ซึ่ง The Yers คือวงที่เราตั้งเป้าเอาไว้ เพราะฉะนั้นเป็นไปโดยปริยายเลยว่าวงดนตรีในประเทศไทยผมต้องชอบ The Yers ที่สุด

 

ต่อ-พนิต มนทการติวงค์

 

พายุหมุน เพลงที่เรียกน้ำตาได้มากที่สุดในอัลบั้ม Cry

 

อู๋: ตั้งแต่ฟังดนตรีแล้วคิดว่าจะมีเนื้อเพลงแบบไหนผมก็ร้องไห้แล้ว เพราะมันมีบางอย่างที่ตลอดชีวิตผมไม่สามารถเอาชนะได้สักที เหมือนพายุที่ถาโถมเข้ามาตอกย้ำเราอยู่ตลอด ผมคิดคอนเซปต์ตอนอยู่บนเครื่องบิน จดคำคีย์เวิร์ดพวก เจ็บจนไม่เหลือน้ำตาให้เสียใจ, พายุถาโถม, ทุกสิ่งรุมเร้าแล้วก็ร้องไห้ พอกลับมาเขียนเนื้อจริงๆ ในห้องนอนนี่ต้องเรียกว่ากลั้นใจเขียน และเป็นเพลงที่ถ้าผมลงลึกไปกับความรู้สึกนั้นเมื่อไร ผมจะร้องเพลงนี้ไม่ได้เลย ขนาด MV หลังจากดูครั้งแรกในห้องตัดต่อแล้วผมก็ไม่กล้ากลับไปดูอีกเลย

 

ต่อ: เพลงนี้มันผูกได้กับทุกเรื่องไม่ว่าเราจะเสียใจเรื่องอะไรมา แค่ฟังนี่รับรองว่าตายแน่นอน ในฐานะนักดนตรี เวลาไปเล่นสดอาจจะไม่ได้อินมากนะ เป็นแค่เพลงช้าๆ ฟังสบายๆ แต่ถ้าฟังในฐานะคนฟังมันผูก และกดเราได้ในทุกจุดของชีวิตจริงๆ

 

บูม: ความเสียใจเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ เราจะขอร้องให้อะไรสักอย่างพัดมันออกไป แต่ระหว่างรอให้พายุหรือเวลามาช่วยพัดมันออกไปนี่แหละที่สำคัญ และบอกทุกคนได้ดี

 

เพลง พายุหมุน ของ The Yers

 

เกลียด บทเพลงที่ถูกสร้างขึ้นมาเพราะความต้องการเอาชนะ

 

อู๋: ความจริงที่คนไม่ค่อยรู้กันคือ เพลง พายุหมุน ผมแต่งขึ้นมาเพื่อเอาชนะเพลงหนึ่ง ที่ผมเคยแต่งให้คนหนึ่งแล้วเขาไม่เอาเพลงนั้น เป็นเพลงที่ผมรักที่สุดในชีวิต และคิดว่าเป็นมาสเตอร์พีซของชีวิตได้เลย พอโดนปฏิเสธ เพลงนั้นก็ถูกเก็บไว้ ไม่ได้รับการใส่ใจ กลายเป็นความแค้นส่วนตัวของผมอย่างมาก ว่าอยากเขียนเพลง พายุหมุน ที่มีท่อนฮุกเหมือนเพลงนั้นเป๊ะ เพื่อเอาชนะเพลงนั้นให้ได้ แต่ทำเสร็จก็รู้ทันทีว่ายังไม่สามารถเอาชนะได้อยู่ดี

 

จนการมาถึงของเพลง เกลียด ที่เป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้ม Cry ผมใช้เวลา 3-4 เดือน หลังเพลง พายุหมุน อยู่กับการสร้างเพลงที่จะเอาชนะเพลงนั้นให้ได้อีกครั้ง พอทำเสร็จ จำโมเมนต์หนึ่งที่นั่งในร้านหมูกระทะกับเพื่อน ผมพูดขึ้นมาว่า “กูไม่เคยรู้สึกว่ามันจะมีเพลงไหนที่แต่งออกมาแล้วจะทำให้เราดังและมีชื่อเสียงเท่าเพลง เกลียด มาก่อนเลย” แล้วผลลัพธ์มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

 

บูม: ผมชอบเพราะมันพูดเรื่องที่เข้าใจง่ายมาก การเกลียดตัวเองที่ยังคิดถึงคนหนึ่งอยู่ ถ้าใครมีความทรงจำแบบนั้น อารมณ์มันจะมาเลย แล้วมีท่อนซ้ำแค่ไม่กี่ท่อน ก็ทำให้เรารู้สึกอยากเปิดฟังมันไปเรื่อยๆ

 

ต่อ: อย่างเรื่องเพลง พายุหมุน ที่อู๋ต้องการเอาชนะเพลงนั้นผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะ คนอื่นจะว่าอย่างไรไม่รู้ที่เขาเริ่มต้นคิดเพลงจากตรงนั้น แต่สำหรับผมคิดว่าเป็นเรื่องดีมากนะที่เขาได้ระบายออกมาเป็นเพลง เพราะตามปกติเขาเป็นคนไม่ค่อยพูดหรือแสดงความรู้สึกออกมาเท่าไร

 

โบ๊ท: ส่วนผมเห็นด้วยมากครับ ถ้าอยู่ในสงครามแห่งชัยชนะแล้วเขาวิ่งไปข้างหน้าผมจะตามไปติดๆ เลย (หัวเราะ) ถ้าเขาจะทำเพลงเพื่อเอาชนะเพลงที่ดีกว่า หรือเอาชนะวงไหนก็ตาม ผมอินมาก ผมเอาด้วยหมดเลย

 

เพลง เกลียด ของ The Yers

 

การแข่งขัน อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นวงการเพลง

 

อู๋: หลายวงไม่กล้าพูดเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าเป็นจุดที่ไม่ต้องปิดบังกันแล้วว่ามันมีการแข่งขันในวงการเพลงตลอดเวลา เชื่อว่าลับหลังต้องมีการคิดประมาณ เชี่ย มึงกระจอก กูจะเอาชนะวงมึง แต่ด้วยความที่วัฒนธรรมหรือประเพณีบ้านเราแสดงออกไม่ได้ ผมเคยคุยกับโบ๊ทว่ามันต้องมีลักษณะเหมือนที่วง Blur กับ Oasis แข่งกัน

 

อย่างของพวกเราก็มีวงที่มีดนตรีใกล้เคียงกับ The Yers แล้วไม่ชอบพวกเรา และพวกเราก็ไม่ชอบพวกเขาเหมือนกัน (หัวเราะ) คือไม่ได้เกลียดตัวตนกัน แต่แค่ไม่ชอบผลงาน ไม่ชอบการนำเสนอของกันและกันเท่านั้นเอง แต่ยังเป็นเพื่อนที่ดีกันอยู่

 

บูม: มีเยอะมากเลยนะที่เราไม่ชอบผลงานเขาหรอก แต่พอเจอตัวกันแล้วเกลียดเขาไม่ลง

 

โบ๊ท: แต่มันมีคนที่เกลียดเราตลอด 24 ชั่วโมงนะเว้ย (หัวเราะ)

 

อู๋: มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ผมเคยคุยว่าจริงๆ ถ้าแสดงออกเรื่องนี้ได้ มันสนุกนะ มันทำให้วงการมีการแข่งขัน แล้วมันจะคึกคักมากเลย

 

โบ๊ท: งั้นเราพูดเลยไหม (หัวเราะ)

 

อู๋: เดี๋ยวก่อนๆ แค่ขนบธรรมเนียมของประเทศเรามันไม่เอื้ออำนวยแค่นั้นเอง

 

แผนการหักหลังเพื่อเป้าหมายที่ต้องเอาชนะในลำดับต่อไป

 

อู๋: อย่างที่บอกว่าตัวกระตุ้นในการทำเพลงของผมคือการเอาชนะ ทั้งชนะตัวเอง ชนะวงการนี้ จะทำอย่างไรให้มันพัฒนาอยู่ตลอดเวลา สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเรื่อยๆ โดยยังมีลายเซ็นของเราอยู่ ผมชอบเวลาหักหลังคนฟังด้วยการทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงอยู่ตลอดเวลา

 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนทำอัลบั้มชุดที่ 2 คนคาดหวังกับ The Yers ว่าขอมันๆ สะใจๆ หน่อยพี่ อยากได้แบบเสพติดความเจ็บปวด แล้วเราปล่อยเพลง TV ซิงเกิลสุดท้ายที่เป็นแนว R&B เกาหลีมาเลย ผมก็คอมเมนต์กันเพียบว่า นี่แม่งโคตรป๊อปไม่ใช่ The Yers เว้ย โอเค ต้องการอะไรแรงๆ ใช่ไหม งั้นเอาเลยอัลบั้มอะคูสติก (หัวเราะ) มันคือการเปลี่ยนไปในทิศทางที่เขาไม่คิดว่าเราจะไป และนี่คือการเอาชนะตัวเองอย่างหนึ่งแล้ว ถ้าเราทำอะไรเหมือนเดิม ก็จมอยู่ที่เดิมไม่มีการพัฒนา และในขณะที่คนฟังเพลงอะคูสติกของเราแล้วเริ่มติด คิดว่า The Yers ทำเพลงช้าก็เพราะอยากได้ช้าๆ อีก ก็โอเค เอาเพลง ดื่ม ในโปรเจกต์พิเศษแบบหนักๆ ไปเลย (หัวเราะ)

 

พอจบอัลบั้ม Cry เราก็คงต้องหาวิธีหักหลังคนฟังต่อไปอีก แต่ก่อนหน้านั้นเราตั้งใจว่ายังเล่นคอนเสิร์ตอยู่ แต่จะหยุดการผลิตผลงานเพิ่มสักพักหนึ่ง หลังจากพัก 3 ปีจากอัลบั้ม 1 มา 2 เหมือนเราเปิดประตูให้เห็นคนตลอดว่าเรามีอะไรกันบ้าง ตอนนี้เราอยากปิดประตูนั้นสักพัก ให้คนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับ The Yers แล้วค่อยกลับมาอีกครั้งพร้อมอะไรใหม่ๆ ที่คนน่าจะสนุกสนานกันมากขึ้น

 

 

ความผ่อน ‘คลาย’ ของจอมเผด็จการ

 

ต่อ: ก่อนหน้านี้เวลาทำดนตรี จะถูกส่งมาจากอู๋เป็นหลัก แล้วค่อนข้างเครียด แต่อัลบั้มนี้อู๋ให้ผมกับโบ๊ทไปเอาเพลงเก่ามารีอะเรนจ์ใหม่ในแบบอะคูสติก ที่ให้ทำมาในแบบที่พวกผมคิด แล้วพอส่งให้ก็ไม่ได้แก้อะไรมากมาย แต่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ส่งอะไรไปนี่เตรียมโดนด่าได้เลย (หัวเราะ) อย่างโบ๊ทที่ไม่เคยทำเพลงเองมาก่อน ก็เริ่มลุยขึ้นมาทำมากขึ้น มันเป็นการผ่อนคลายจริงๆ นะ ที่เขายอมปล่อยให้เราทำอัลบั้มต่อไปก็คงจะคลายกว่านี้อีก

 

อู๋คือเผด็จการทางดนตรี

 

ทุกคน: ใช่ (ตอบพร้อมกัน)

 

ต่อ: เราใช้วิธีไปคุยกับเพื่อนคนอื่นก่อนว่า เฮ้ย มึงคิดอย่างไรวะ สุมหัวกัน ก็ค่อยไปบอกอู๋ (หัวเราะ) แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่โอเคก็คือตามนั้น เชื่อเขา

 

อู๋: เป็นความโชคร้ายของพวกเขาที่ยังมีความโชคดีอยู่นะ โชคร้ายคือเขาจะส่งงานผมยากหน่อย แต่โชคดีคือไดเรกชันของวงจะตรงกัน The Yers จะไม่ใช่วงที่อยู่ดีๆ ก็มีอะไรผิดแผกมาเพราะอยากได้รับความนิยม หรือมีซาวด์อะไรที่ไม่ควรอยู่ในเพลงของเราเข้ามา

ต่อ: ฟังดูโหด แต่สุดท้ายมันคือความโชคดีจริงๆ นะ เพราะถ้าเราไม่เชื่อ ไม่ตามใจเขาตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะไม่ได้ร่วมวงกัน และไม่ได้มาถึงขนาดนี้ก็ได้

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

FYI
  • Queens of the Stone Age, Editors, Joy Division, The Cure ฯลฯ คือตัวอย่างวงดนตรีฝั่งต่างประเทศที่มีอิทธิพลกับวง The Yers มากที่สุด
  • ส่วนวงการเพลงไทยพวกเขายกให้ Slur มีอิทธิพลมากที่สุดในฐานะวงดนตรีแนว Post Punk Revival วงแรกในประเทศไทย
  • อัลบั้ม Cry ของ The Yers จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising