1. เดินพันของยูเครน
ชาวยูเครนไม่ใช่ชาวรัสเซีย ยูเครนเป็นประเทศอธิปไตยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปี โดยเคียฟ เป็นนครขนาดใหญ่และเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมตั้งแต่ตอนที่มอสโกยังไม่เป็นแม้กระทั่งหมู่บ้าน ดังนั้นเกือบพันปีที่ผ่านมา เคียฟไม่ได้ถูกปกครองโดยมอสโก (หรือรัสเซีย) พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานทางการเมืองเดียวกัน อีกทั้งเคียฟยังฝักใฝ่ทางฝั่งตะวันตก และเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพกับลิทัวเนีย (Lithuania) และโปแลนด์ (Poland) แม้ในที่สุดยูเครนก็ถูกยึดครองและดูดกลืนโดยจักรวรรดิซาร์ของรัสเซีย แต่หลังจากนั้น ชาวยูเครนยังคงเป็นชนชาติที่แยกจากจักรวรรดิรัสเซีย นี่คือสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ เพราะมันหมายถึง ‘เครื่องเดิมพัน’ ในสงครามครั้งนี้
Yuval เล่าว่า เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้มีโอกาสสัมผัสเมืองเคียฟ เขาประทับใจความรู้สึกอันแรงกล้า และความปรารถนาในประชาธิปไตยของชาวยูเครน รอบพิพิธภัณฑ์แห่งการปฏิวัติปีในปี 2013 เขาเห็นภาพผู้หญิงสูงอายุสองคนนำแซนด์วิชไปให้ผู้ประท้วงและพวกนักสู้ พวกเขาขว้างก้อนหินไม่ได้ จะช่วยอย่างอื่นก็ไม่ได้ จึงเตรียมแซนด์วิชเต็มถาดไปเป็นเสบียงให้ผู้ชุมนุม
ความรู้สึกของ Yuval ที่ได้เห็นภาพนั้น ไม่ต่างจากความรู้สึกได้รับขวัญและกำลังใจของผู้คนทั่วโลกที่เฝ้ามองสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่แค่กับชาวยูเครนเท่านั้น
2. ความฝันของปูติน
ปูตินมีจินตนาการว่ายูเครนไม่ใช่ชาติ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของรัสเซีย โดยชาวยูเครนคือชาวรัสเซีย เขาคิดว่าชาวยูเครนเป็นชาวรัสเซียที่ต้องการหวนกลับคืนสู่อ้อมอกของรัสเซีย โดยมีกลุ่มก้อนของชนชั้นสูงเพียงไม่กี่คนที่ขัดขวางไม่ให้เป็นเช่นนั้น โดยรัสเซียสร้างภาพว่าเป็นนาซี แม้ว่าประธานาธิบดีจะเป็นชาวยิวก็ตาม
อีกจินตนาการของปูตินคือ เมื่อรัสเซียบุก เซเลนสกีจะหนี รัฐบาลจะล่มสลาย กองทัพจะวางอาวุธ และชาวยูเครนจะอ้าแขนต้อนรับผู้ปลดปล่อยชาวรัสเซีย โปรยดอกไม้ให้พวกเขา แต่ภาพฝันเช่นนี้ได้พังทลายลง เมื่อเซเลนสกีไม่ได้หนี กองทัพยูเครนยังคงยืนหยัดต่อสู้ และคนยูเครนไม่ได้โปรยดอกไม้ใส่รถถังของรัสเซีย แต่กลับกำลังขว้างระเบิดขวด
ผู้สัมภาษณ์ถามต่อว่า Yuval เคยอธิบายโมเดลของรัสเซียว่า “ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองใดที่สอดคล้องเป็นหลัก แต่เป็นการปฏิบัติเพื่อการผูกขาดอำนาจและความมั่งคั่งโดยคนกลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ด้านบนสุด” แต่แล้วในการกระทำของปูตินต่อยูเครนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวและตัดสินใจโดยเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ของจักรวรรดิ นั่นคือการปฏิเสธสิทธิของยูเครนที่จะดำรงอยู่ อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสี่ปีนับตั้งแต่คุณเขียนหนังสือเล่มนั้น
ความฝันในการสร้างจักรพรรดิไม่เคยหายไปไหน แต่บ่อยครั้งจักรวรรดิมักเป็นสิ่งที่กลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ด้านบนสุดสร้างขึ้น Yuval ไม่คิดว่าคนรัสเซียสนใจอยากทำสงครามครั้งนี้ ทุกสิ่งล้วนเกิดมาจากผู้คนด้านบนทั้งหมด
เมื่อมองดูที่สหภาพโซเวียต คุณสามารถพูดได้ว่า มันมีอุดมการณ์ที่มวลชน ซึ่งเป็นประชากรจำนวนมากหรือบางส่วนยึดถือร่วมกัน ทว่าตอนนี้คุณไม่เห็นสิ่งนี้แล้ว รัสเซียเป็นประเทศที่ร่ำรวยมาก อุดมไปด้วยทรัพยากร แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยากจนมาก มาตรฐานสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาต่ำมาก เพราะความมั่งคั่งและอำนาจทั้งหมดถูกกัดกินโดยผู้คนด้านบน และหลงเหลือเพียงเล็กน้อยสำหรับคนด้านล่าง Yuval จึงไม่คิดว่ารัสเซียเป็นสังคมที่มีมวลชนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพื่ออุดมการณ์แบบนี้ พวกเขากำลังถูกปกครองจากด้านบน เป็นสถานการณ์คลาสสิกแบบจักรวรรดิ เมื่อจักรพรรดิผู้ควบคุมประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกเริ่มรู้สึกว่า “แค่นี้ยังไม่พอ ฉันยังต้องการมากกว่านี้” และเขาก็ส่งกองทัพออกไปยึดครองดินแดนต่างๆ และขยายอาณาจักร
3. เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง
Yuval ตีพิมพ์บทความใน The Guardian และพาดหัวว่า “เหตุใดปูตินถึงแพ้สงครามครั้งนี้ไปแล้ว” ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ปูตินไม่ได้พ่ายแพ้ทางทหารโดยทันที แน่นอนว่าเขามีอำนาจทางทหารในการพิชิตเคียฟได้ หรือไม่ก็สามารถยึดครองทั้งยูเครนได้ด้วยซ้ำ แต่เป้าหมายระยะยาวของเขา คือการปฏิเสธความเป็นชาติของยูเครน เพื่อผนวกยูเครนกลับเข้ารัสเซีย ในการทำเช่นนั้น การพิชิตยูเครนไม่เพียงพอ แต่ต้องรักษายูเครนไว้ได้ด้วย ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนภาพเพ้อฝัน และการพนันว่าประชากรส่วนใหญ่ในยูเครนจะเห็นด้วย หรือกระทั่งยินดีกับสิ่งนี้ด้วยซ้ำ แต่เรารู้แล้วว่ามันไม่จริง ชาวยูเครนรักชาติ พวกเขาเป็นอิสระและมีเอกราชอย่างสุดขีด พวกเขาไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย พวกเขาพร้อมจะสู้ยิบตา และในระยะยาว แม้ปูตินจะสามารถพิชิตยูเครนได้ แต่อย่างที่ชาวอเมริกันเรียนรู้จากอัฟกานิสถานและอิรัก การรักษาและปกครองประเทศไว้ยากกว่าการบุกยึดอย่างมาก
ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น มีหลายสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว ทุกคนรู้ว่ากองทัพรัสเซียแข็งแกร่งกว่ากองทัพยูเครน ทุกคนรู้ดีว่า NATO จะไม่ส่งกองกำลังติดอาวุธหรือกองกำลังทหารเข้าไปในยูเครน ทุกคนรู้ดีว่าชาวตะวันตกหรือชาวยุโรปจะต้องลังเลกับการออกมาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดเกินไป เพราะกลัวว่าจะส่งผลร้ายต่อตัวเอง เหล่านี้คือเรื่องพื้นฐานในแผนสงครามของปูติน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ นั่นคือไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างแน่นอนว่าชาวยูเครนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ชาวยูเครนกำลังต่อสู้ และพวกเขาจะสู้ โดยสิ่งนี้ทำให้เหตุผลและความชอบธรรมทั้งหมดของสงครามของปูตินล้มระเนระนาด
“คุณอาจสามารถยึดครองประเทศได้ แต่คุณจะไม่สามารถผนวกยูเครนกลับเข้าสู่รัสเซียได้ สิ่งเดียวที่ปูตินทำสำเร็จ คือการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังไว้ในใจของชาวยูเครนทุกคน ในทุกๆ วันที่มีคนถูกฆ่าและสงครามยังดำเนินต่อไป คือการหว่านเพิ่มเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังที่จะคงอยู่นานหลายชั่วอายุคน ชาวยูเครนและรัสเซียไม่เคยเกลียดชังกันมาก่อนที่ปูตินจะเข้ามา พวกเขาเป็นพี่น้องกัน ตอนนี้เขากำลังทำให้ชาวยูเครนและชาวรัสเซียเป็นศัตรูกัน และถ้าเขายังคงเดินหน้าต่อไป นี่จะเป็นมรดกที่เขาทิ้งไว้”
เมล็ดพันธุ์ของความเกลียดชัง ไม่ใช่แค่คนในยูเครนเท่านั้น แต่รวมถึงผู้คนในประเทศรอบข้าง ทั่วทุกมุมโลก และเมล็ดเหล่านี้เมื่อถึงเวลาคิดบัญชีจะเกิดผลที่เลวร้ายอย่างยิ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องหยุดสงครามโดยทันที
เมล็ดพันธุ์ของมันได้ถูกปลูกไว้เมื่อหลายสิบปีหรือหลายศตวรรษก่อนแล้ว ความกลัวของรัสเซียส่วนหนึ่งที่กระตุ้นปูตินและจูงใจผู้คนรอบตัวเขาคือความทรงจำที่พวกเขาเคยถูกรุกรานในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามโลกครั้งที่สอง และแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาทำตอนนี้เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ พวกเขากำลังสร้างสิ่งเดียวกันกับที่พวกเขาควรเรียนรู้ได้แล้วว่าควรจะหลีกเลี่ยง
4. การปฏิเสธสงครามไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
บางคนคิดว่า การปฏิเสธสงครามเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน แต่คุณลองดูสถิติตั้งแต่ปี 1945 ไม่มีการปะทะกันระหว่างมหาอำนาจ ไม่มีประเทศที่ถูกยอมรับในระดับสากลถูกกวาดล้างหายจากแผนที่โดยการรุกรานจากประเทศอื่น ทั้งที่มันเคยเป็นเรื่องธรรมดาในประวัติศาสตร์ นี่คือความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นรากฐานของทุกสิ่งที่เรามี ตั้งแต่การบริการทางการแพทย์ไปจนถึงระบบการศึกษา แต่ตอนนี้ระบบทั้งหมดกำลังอยู่ในอันตราย หากมนุษย์บางคนเริ่มกลับมาตัดสินใจแย่ๆ และเริ่มทำลายล้างสถาบันที่คอยรักษาความสงบไว้ เราก็จะกลับมาสู่ยุคสงครามอีกครั้งด้วยงบประมาณทางการทหารพุ่งสูงขึ้นไปถึง 20-40%
เมื่อไหร่ที่ Yuval หรือนักวิชาการคนอื่นๆ พูดเกี่ยวกับยุคแห่งสันติภาพ บางคนเข้าใจว่ามันเป็นการสนับสนุนให้เราหลงระเริงและพึงพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว ว่าเราไม่ต้องวิตกกังวลอะไรทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่เลย เพราะประเด็นมันคือเรื่องของ ‘ความรับผิดชอบ’ หากคุณคิดว่ายุคแห่งสันติภาพไม่เคยมีอยู่จริงเลยในประวัติศาสตร์ และมันมีสงครามอยู่เสมอ นั่นหมายความว่า มันคงไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรนเพื่อสันติภาพ และมันไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้นำอย่างปูติน เพราะคุณไม่สามารถโทษปูตินว่าเป็นคนก่อสงครามได้ มันเป็นเพียงเรื่องธรรมชาติที่มีสงคราม แต่เมื่อคุณตระหนักว่า มนุษย์สามารถลดระดับการใช้ความรุนแรงได้ การคิดแบบนี้ก็ควรทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจด้วยว่าสงครามในยูเครนตอนนี้หาใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นหายนะที่มนุษย์สร้างขึ้น และเกิดจากชายเพียงคนเดียว ชาวรัสเซียไม่ได้ต้องการสงครามนี้ มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นจริงๆ ที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ผ่านการตัดสินใจของเขา