ทุกครั้งที่ออกไปดูนิทรรศการดีๆ กับ CEA หรือที่รู้จักกันดีในนามของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) นอกจากการเสพศิลป์ที่หลากหลายและรับประกันได้ว่าสนุกแล้ว สิ่งที่เราชอบมากคือการเห็นงานสร้างสรรค์เหล่านั้นไม่ได้ถูกทำขึ้นมาเพื่อความสุนทรีเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการต่อยอดองค์ความรู้สู่ผู้คนในท้องถิ่นให้เห็นสิ่งที่เป็นไปได้ (และไปได้ดีเสียด้วย) ในการนำงานออกแบบมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิต
เฉกเช่นเดียวกับงาน The Wall of SongKhla นิทรรศการงานไฟกลางคืนที่เกิดขึ้น ณ บริเวณ 3 เส้นทางสายเล็กๆ กลางเมืองเก่าสงขลา โดยการนำเอาศาสตร์การจัดไฟแบบ Urban Lighting มาตอบคำถามที่ว่า ‘แสง’ สามารถนำไปพัฒนาเมืองได้อย่างไร และมันทำหน้าที่ได้มากกว่าการให้ความสว่างหรือเปล่า?
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า The Wall of SongKhla มีทั้งหมด 3 จุด เราแนะนำให้คุณตั้งต้นยังจุดแรก ณ บริเวณมัสยิดอุสาสนอิสลาม หรือมัสยิดบ้านบน แล้วค่อยปักหมุดเดินไล่ไปจนครบ 3 จุดในเวลาทั้งหมด 3 เส้นทาง น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง หรืออาจน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณเพลิดเพลินกับสถานที่แต่ละแห่งมากน้อยแค่ไหน
เส้นทางแรก ‘The Wall 1: The Prime Light เป็นการจัดแสดงแสงไฟบนอาคารประวัติศาสตร์ ‘มัสยิดอุสาสนอิสลาม’ ศูนย์รวมกิจกรรมทางศาสนาของคนในชุมชนมากว่า 170 ปี ดูผิวเผินอาจไม่มีอะไรพิเศษสำหรับคนนอกถิ่นที่เพิ่งเข้ามา เพราะไฟที่จัดไม่ได้มีแสง สี หลากสีสันและดูสนุกเหมือนงานไฟในกรุงเทพฯ แต่เป็นการจัดแสงแบบ Urban Lighting มาไลท์อัพตามจุดต่างๆ ของตัวอาคาร เผยความงามของมัสยิดบ้านบน โดยเฉพาะหออาซาน ให้เปล่งประกายกลายเป็นแลนด์มาร์กยามค่ำคืน เปรียบเสมือนแสงแห่งอัลลอฮฺที่ส่องนำทางชาวมุสลิม
แม โต๊ะเจ หนึ่งในตัวแทนของมัสยิดและชุมชนมุสลิมเผยว่า แรกเริ่มเดิมทีบริเวณมัสยิดมีแสงไฟเล็กน้อยตามทางเดินและภายในตัวอาคารเท่านั้น แต่หลังจาก CEA เข้ามาช่วยดูแลเรื่องแสงไฟบริเวณตัวอาคาร คนในชุมชนก็ตื่นเต้นกันมาก และรู้สึกมีความสุขมากยามทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยพร้อมแสดง
“เวลาผมเดินทางผ่านวัดพุทธสำคัญๆ ตามในเมืองใหญ่ยามค่ำคืน เราเห็นแสงไฟประดับตกแต่งแล้วดูสวยดี เราก็อยากให้ทางมัสยิดบ้านบน ซึ่งเป็นทั้งโบราณสถานและแลนด์มาร์กของคนในละแวก สวยงามบ้าง พอ CEA เข้ามาพูดคุยและแนะนำตัว รวมถึงเสนอแนวทาง เราก็คิดว่าโปรเจกต์นี้เข้าท่าดี พวกเราเลยทำงานร่วมกัน พูดคุยกัน ยิ่งตอนเห็นแสงไฟเปิดตามจุดต่างๆ ในมัสยิดแล้ว เรารู้สึกว่ามัสยิดสวยขึ้นมาก และเราอยากให้ทุกอย่างต่อยอดไปมากกว่านี้ ไม่อยากให้จบแค่ช่วงจัดแสดงนิทรรศการ”
การไลท์อัพอาคารมัสยิด ทางกลุ่ม Lighting Designers Thailand (LDT) ได้ติดตั้งไฟอยู่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นตัวอาคารหลักของมัสยิด ตามผนังกำแพง หออาซาน บ่อน้ำ เป็นต้น โดยผู้ชมสามารถเข้ามาถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ได้ และสามารถขึ้นบนชั้นดาดฟ้าเพื่อชมความงามของมัสยิดจากมุมสูงได้ ขอเพียงแต่งกายให้สุภาพและไม่รบกวนผู้ปฏิบัติกิจทางศาสนาก็เพียงพอ
จากจุดแรกเดินข้ามถนนมาทางถนนนครนอกระยะทางประมาณ 300 เมตร บริเวณซอยดอกพวงคราม ข้างห้างหุ้นส่วนจำกัด กรุงทองภาคใต้ เป็นสถานที่ตั้งของเส้นทางที่ 2 ‘The Wall 2: Moonlight Serenade ลำนำแสงจันทร์’ งานจัดแสดงแสงไฟในบรรยากาศชวนฝัน มีสายลมอ่อนๆ จากทะเลสาบสงขลา และไฟแสงจันทร์เป็นตัวเอก งานชิ้นนี้ CEA ต้องการสร้างให้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาแสงสว่างของเมืองสงขลาในอนาคต ว่าเราสามารถใช้ตรอกเล็กๆ อันเงียบสงบสร้างสรรค์บรรยากาศดีๆ เพื่อดึงดูดผู้คนโดยการประดับไฟแซมไว้ และไม่ทำลายทัศนียภาพเดิม จุดนี้ดึงดูดผู้คนได้เยอะมาก และสิ่งที่เราชอบมากที่สุดคือ มีวงดนตรีบรรเลงสดๆ จากนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยให้ฟังด้วยอย่างเพลิดเพลิน
จุดที่ 3 เดินตรงมาอีกประมาณ 100 เมตร ‘The Wall 3: Tale of the Sea นิทานแห่งท้องทะเล’ ส่องสว่างอยู่บริเวณตรอกทางเดินเท้าเชื่อมระหว่างถนนนครในและนครนอก ข้างร้าน The Apothecary of Singora (Apo Store) งานไฟในจุดนี้เป็นการนำนิทานแห่งท้องทะเล ‘เกาะหนู เกาะแมว’ มาเล่าขาน ความพยายามว่ายน้ำกลับฝั่งและการไล่ล่าลูกแก้ววิเศษระหว่างหนูกับแมว งานชิ้นนี้เป็นการเล่นกับแสงเงา โดยมีจุดให้ถ่ายรูปเยอะมาก น่าจะถูกใจวัยรุ่นทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นหนูตัวน้อยถือลูกแก้วอยู่ด้านบนกำแพง แมวไต่อยู่ตามท่อ หรือรูปสุนัขตัวโตกำลังกระโดดไล่เจ้าเหมียว เป็นต้น บรรยากาศในส่วนนี้ไม่ได้ชวนฝันเหมือนจุดที่ 2 แต่กลับมอบความสนุกและแสดงถึงการใช้ตรอกซอกซอยเปลี่ยวให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ยามค่ำคืนได้
The Wall at Songkhla 2022 จัดวันที่ 26 สิงหาคม – 4 กันยายน 2565 เวลา 19.00-22.00 น. เท่านั้น เวลาเที่ยวเราแนะนำให้คุณใช้เวลาช่วงเช้าหรือช่วงเย็น เดินเล่นถ่ายภาพ แวะเวียนกินของอร่อย ก่อนดูนิทรรศการทั้ง 3 จุด เพื่อให้เห็นความแตกต่างและเข้าใจเมืองเก่าสงขลามากขึ้น
