×

อุ่นเครื่องก่อนไปฟังความจริง ในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของ Room39

16.03.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • The Truth in Room39 Concert ความจริงในห้องหมายเลข 39 คือคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของวง Room39 หลังจากรอคอยโอกาสและเวลาที่เหมาะสมมานาน 8 ปีเต็ม
  • นอกจากเพลงเพราะๆ ที่จะได้ฟัง คอนเสิร์ตนี้ยังเปรียบเสมือนการเปิดบ้านของสมาชิกทั้ง 3 คน ให้แฟนเพลงได้ทำความรู้จักพวกเขาในมุมลึกที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
  • ห้องของทอมจะเป็นห้องที่สว่าง สนุกสนาน ห้องของมนจะเต็มไปด้วยอารมณ์ของผู้หญิงที่เซนสิทีฟ ส่วนห้องของโอจะหม่นๆ คล้ายห้องดับจิต ตามประสาคนที่ชอบครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

ย้อนไปประมาณ ปีพ.ศ. 2553 อยู่ดีๆ ก็มีวัยรุ่น 3 คนรวมตัวกันในชื่อ Room39 ตั้งกล้องวิดีโออัดคลิปเพลงคัฟเวอร์ของตัวเองส่งตรงจากห้องเล็กๆ ในลอสแอนเจลิส มาปลุกกระแสเพลงคัฟเวอร์ในเมืองไทย และหลังจากนั้นการฟังเพลงของคนไทยก็เข้าสู่ยุคศิลปินคัฟเวอร์ในยูทูบอย่างเต็มตัว

 

จนถึงวันนี้ ทอม-อิศรา กิจนิตย์ชีว์, มน-ชุติมน วิจิตรทฤษฎี และ แว่นใหญ่ หรือโอ-โอฬาร ชูใจ สมาชิกจากห้องหมายเลข 39 ในวันนั้นได้ขยับขยายพื้นที่ของตัวเอง กลายเป็นศิลปินที่มีเพลงฮิตออกมาไม่ขาดสาย นับตั้งแต่วันแรกที่พวกเขากลับมาเป็นศิลปินเต็มตัวที่เมืองไทย โดยเฉพาะผลงานอัลบั้มที่สอง Restart ที่ยืนยันความสำเร็จและเปิดโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา

 

หลังจากรอคอยกันนานถึง 8 ปี จากที่เคยรู้จักพวกเขาผ่านบทเพลง งานโชว์ตามที่ต่างๆ แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะเปิดให้พวกเราได้เข้าไปอยู่ใน ‘ห้องส่วนตัว’ ของพวกเขาแบบใกล้ชิด ในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกที่ชื่อ ‘The Truth in room39 ความจริงในห้องหมายเลข 39’ ที่พวกเขาบอกกับเราว่านอกจากเพลงเพราะๆ ที่จะไม่ทำให้ผิดหวัง คอนเสิร์ตครั้งนี้จะเป็นการ ‘เปลือย’ ตัวตนของพวกเขาออกจนหมด และเหลือแต่ความจริงที่จะมีเฉพาะคนพิเศษในงานนี้เท่านั้นจะได้รับรู้

ความรักเหมือนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ซึ่งเพลงความจริงก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้หายหรอก แต่อย่างน้อยเรารู้สึกว่ามันช่วยบรรเทาอาการได้

 

รู้สึกว่าช้าไปไหมสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของ Room39 เพราะถ้านับเวลาในวงการจริงๆ พวกคุณอยู่ในวงการนี้มาเกือบ 10 ปีแล้วนะ

มน: ไม่รู้ว่าช้าไปหรือเปล่า แต่ในความรู้สึกพวกเรามันคือเวลาที่เหมาะสม คอนเสิร์ตใหญ่คือความฝันที่เราคิดกันมานานแล้ว พี่บอย โกสิยพงษ์ เคยมาชวนตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้วด้วย แต่ปฏิเสธไปเพราะกลัวไปหมด ไม่กล้าสักที คนจะมาดูเราหรือเปล่า กลัวว่าเพลงน้อยเกินไป เพราะคอนเสิร์ตใหญ่จะไปเล่นคัฟเวอร์สักครึ่งหนึ่งก็คงไม่ได้ พอออกอัลบั้มที่สอง Restart ออกมา ทางค่ายก็มาคุยกันอีกทีว่าลองดูไหม แล้วเห็นตรงกันว่าพวกเราน่าจะมีเพลงพอแล้ว

 

โอ: ซึ่งคอนเสิร์ตนี้เราก็จะเล่นเพลงคัฟเวอร์ไปครึ่งหนึ่งอยู่ดี (หัวเราะ) ล้อเล่นนะครับ เราดีไซน์เอาไว้ว่าโชว์จะยาวประมาณ 3 ชั่วโมง คิดว่าน่าจะมีประมาณ 25-28 เพลง ซึ่งจะรวมเพลงทั้งหมดของพวกเรา ไม่ว่าจะโปรเจกต์พิเศษ ประกอบละครหรืออะไรก็ตาม และสิ่งที่คิดว่าจะต่างจากโชว์อื่นของพวกเราแน่ๆ คือพวกเพลงหน้า B ที่ไม่ค่อยได้เล่น เพราะหลายครั้งแฟนคลับที่ติดตามกันจริงๆ จะชอบขอเพลงเหล่านี้ แต่พวกเราหลีกเลี่ยงที่จะไม่เล่นมาตลอด เพราะกลัวว่าคนอื่นเขาจะงง แต่ในคอนเสิร์ตครั้งนี้มันคือพื้นที่ของเรา เพราะฉะนั้นเราจะเล่นเพลงอะไรก็ได้แล้วจริงๆ

 

จะมี ‘ความจริง’ อะไรบ้างที่จะเกิดขึ้นในคอนเสิร์ต ‘ความจริงในห้องหมายเลข 39’ ครั้งนี้

มน: นอกจากเพลงที่จะได้ฟังในภาพรวมของพวกเรา 3 คน ในคอนเสิร์ตนี้จะมีการแบ่งพาร์ตเพื่อให้แต่ละคนได้พูดถึงความจริง ความรู้สึกของตัวเองที่หลายคนอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับพวกเราออกมา เราเชื่อว่ามีเรื่องราวหลายอย่างมากที่เกิดขึ้นระหว่างทางกว่าที่พวกเราจะมาถึงทุกวันนี้ บางคนอาจจะเพิ่งมาติดตามเราในช่วงหลัง แต่คอนเสิร์ตนี้เราจะพยายามฉายภาพให้เห็นทั้งหมดตั้งแต่อยู่ที่อเมริกา มาเป็นศิลปิน มันคือความจริงที่จะแสดงตัวตนของพวกเราออกมา

 

โอ: รวมทั้งในพาร์ตการแสดง ที่คนอาจจะคุ้นเคยกับภาพของเราที่นั่งกันสามคน ร้องเพลงไปเรื่อยๆ แต่มันก็ยังมีบางตัวตนข้างในที่เราไม่ได้แสดงออกมา ซึ่งมันจะมีทั้งมุมที่เศร้าบ้าง ตลกได้ แต่คนก็จะได้เห็นว่าพวกเราจะเศร้า หรือสนุกในรูปแบบไหนได้บ้าง มันจะมีความเป็นงานทดลองอยู่บ้าง เพราะพวกเราไม่ค่อยได้แสดงภาพพวกนี้ออกมาให้คนเห็น เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะชอบกันหรือเปล่า แต่คอนเสิร์ตนี้จะได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ได้ตอบสนองตัวเองจริงๆ

 

ทอม: อย่างผมจะมีความสุขมากเวลาร้องเพลงอยู่คนเดียว และเชื่อว่าหลายคนก็เป็นแบบนั้นที่ได้ร้องเพลงในรถ ในห้องน้ำ เอาจริงๆ ทุกวันนี้ผมยังรู้สึกเกร็งๆ อยู่เลยนะทุกครั้งที่ขึ้นเวทีต่างๆ เพราะหลายครั้งที่เราต้องบาลานซ์ซองลิสต์ให้ดีระหว่างการร้องเพลงที่เป็นตัวตนของเรา เรามีความสุข แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเลือกเพลงที่ทำให้คนฟังเขาอยากฟังและมีความสุขไปด้วย แต่อย่างที่พี่โอกับมนบอกว่าคอนเสิร์ตนี้มันเหมือนอยู่ในบ้านของเราเอง มันคือพื้นที่ที่สบายใจที่สุด เราจะเลือกร้องเพลงอะไรก็ได้ ซึ่งทำให้ผมโคตรมีความสุขเลยที่ได้ร้องเพลงในพื้นที่ที่สบายใจที่สุดแบบนี้

 

 

ถ้าแบ่งคอนเสิร์ตนี้เหมือนการเปิดบ้านให้ทุกคนได้มาทำความรู้จักกับพวกคุณ ห้องของแต่ละคนจะถูกตกแต่งสไตล์ไหน และมีเรื่องราวอะไรที่จะถูกเล่าเฉพาะในห้องนั้นบ้าง

ทอม: ถ้าเปิดประตูบ้านเข้ามาเจอห้องนั่งเล่น ก็จะเป็นภาพที่ทุกคนคุ้นเคยกับพวกเรา Room39 โซฟาสีแดง นั่งร้องเพลง เล่นตลกกันไปเรื่อยๆ แต่พอแยกเข้าไปแต่ละคนก็นำเสนอตัวตนของแต่ละคนออกมา เช่นห้องมนจะตกแต่งสไตล์ผู้หญิงจ๋าๆ มาเลย ซึ่งแฟนคลับก็จะไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ เพราะมนคือผู้หญิงที่ถูกกลืนด้วยผู้ชาย 2 คน คิดว่าเป็นเหมือนผู้ชาย แต่จริงๆ แล้วมนเป็นคนที่เซนสิทีฟมาก

 

มน: ด้วยความเป็นผู้หญิงด้วยแหละ อะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้ อารมณ์อ่อนไหวง่าย แต่เราชอบนะ อินกับอะไรง่ายๆ ดูหนังก็ร้องไห้ เห็นอะไรซึ้งๆ หน่อยก็ร้องแล้ว  

 

ทอม: เออ ร้องเหมือนว่าตอนเด็กๆ ไม่มีรองเท้าใส่ไปโรงเรียนอ่ะ นี่ชีวิตแร้นแค้นขนาดนั้นเลยเหรอ (หัวเราะ)

 

โอ: บางทีก็เข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว (หัวเราะ) แล้วเชื่อไหม คอยดูเลยนะในคอนเสิร์ตถ้าผมหรือใครพูดอะไรเกี่ยวกับความลำบาก การต่อสู้อะไรของ Room39 นะ เตรียมเห็นมนร้องไห้ได้เลย ส่วนห้องของผมน่าจะเป็นห้องที่หม่นๆ หน่อย อันนี้คือคิดจากบ้านที่อยู่จริงๆ ด้วยนะ ทุกอย่างจะทึมๆ แบบนั้นเลย (หัวเราะ) มุมนี้คนก็จะนึกไม่ค่อยถึง ภายนอกผมอาจจะดูร่าเริงสนุกสนาน แต่จริงๆ แล้วผมเป็นคนเก็บอะไรมาคิดเยอะมาก แล้วผมก็ไม่ได้เอ็นจอยไปได้กับทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่รู้ถึงขั้นเรียกว่ามองโลกในแง่ร้ายได้เลยหรือเปล่า

 

ทอม: ห้องของพี่โอคือห้องดับจิตครับ (หัวเราะ) ส่วนของผมจะเห็นห้องสว่างๆ หน่อย สนุกสนาน กวนๆ อันนี้มันจะต่อเนื่องจากรายการ The Mask Singer นิดหนึ่งนะ เพราะตอนแรกคนจะเห็นผมนิ่งๆ ชอบร้องเพลงแค่นั้น แต่จริงๆ ผมเป็นคนกวนๆ อยากสนุกสนาน แต่พอเราใส่หมวกว่าเป็นศิลปิน เป็นนักแสดง บางครั้งมันทำให้ผมวางตัวไม่ถูกเหมือนกัน ไอ้คำว่ามารยาทนี่มันต้องมีขนาดไหน เราเรียบร้อยเกินไปหรือเปล่า ทำให้ผมไม่ค่อยกล้าเป็นตัวเอง แต่พออยู่ใต้หน้ากากทุเรียน ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใคร ผมเลยทำทุกอย่างได้เต็ม แล้วห้องในคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็คือห้องของผม ที่ผมจะยืนยันกับทุกคนอีกครั้งว่าผมเป็นของผมแบบนี้นะ คุณจะชอบหรือไม่ชอบก็ค่อยมาตัดสินกันในห้องนี้อีกที

 

 

เพลงไหนในอัลบั้ม Restart ที่สามารถแสดงความรู้สึกของแต่ละคนได้มากที่สุดในเวลานี้

โอ: เพลงรักตัวเองครับ ผมชอบเพราะรู้สึกว่าเพลงนี้ผมไม่ได้เขียนให้ตัวเองคนเดียว ผมเขียนให้ทุกคนที่เขาอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กัน สถานการณ์ที่เรารักคนอื่นจนลืมไปว่ายังมีอีกคนที่ต้องรักเหมือนกันก็คือตัวเอง ผมอยากให้คนเก็ตในจุดนี้ที่สุดเลย อยากให้รู้ว่าถ้าคุณรักตัวเองแล้วคุณจะรู้ว่าทุกคนคู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกลับไปเหมือนกัน

 

ทอม: เพลงเป็นทุกอย่างครับ ผมชอบเวลาที่เรารู้สึกพิเศษหรือรักใครสักคน แล้วอะไรที่เราทำไม่ได้ มันจะกลายเป็นทำได้ทันที อะไรก็ตามที่อยู่คนเดียวจะไม่ทำ ไม่เห็นประโยชน์ด้วยว่าจะทำไปเพื่ออะไร อย่างเมื่อก่อนซักกางเกงใน ซักถุงเท้าไม่เป็น ตอนนี้ก็ต้องซักเองแถมซักให้แฟนด้วย (หัวเราะ) พลังแห่งความรักมันทำให้เราทำได้ทุกอย่างจริงๆ บางคนนอนดึก ตื่นสาย พออยู่กับแฟนก็ต้องปรับตัว นอนเร็วพร้อมกัน ตื่นเช้าพร้อมกัน มีอีกคนที่เราต้องคอยคิดถึงตลอดเวลา

 

มน: เพลงความจริงค่ะ เพราะว่าผู้หญิงทุกคนต้องเคยเจ็บ เจ็บแล้วก็ไม่จำ ประมาณว่าเจ็บจังแต่ก็อยากเอาอีก อยากเจ็บอีก (หัวเราะ) ทุกคนน่าจะเป็น แต่เดี๋ยวมันก็จะหายนะ หายแล้วก็ลืม แล้วก็กลับไปเจ็บอีก บางคนเห็นว่าเป็นเหวอยู่ข้างหน้าแต่ก็อยากกระโดดลงไป ความรักเหมือนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ซึ่งเพลงความจริงก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้หายหรอก แต่อย่างน้อยเรารู้สึกว่ามันช่วยบรรเทาอาการได้ ฟังซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ความจริงมันจะทำให้เราดีขึ้นเอง

 

 

มีเรื่องไหนในชีวิตบ้างไหม ที่ถ้าเป็นไปได้อยากจะกดปุ่มเพื่อ Restart แล้วเริ่มต้นทำมันใหม่อีกครั้ง

มน: ช่วงที่กลับมาไทยแรกๆ แล้วตอนนั้นงานของวงพีกมาก ได้เงินง่ายมาก แล้วเราใช้ชีวิตแบบประมาทมากเลย ใช้เงินไม่คิด หมดไปกับเสื้อผ้า กับอะไรที่มันไร้สาระ ซื้อขนมให้ผู้ชาย เลี้ยงข้าวผู้ชาย ถ้าเป็นไปได้ก็คงอยากจะระวังเรื่องการใช้เงินมากขึ้น เปย์ให้น้อยลง เพราะต่อให้เปย์ไปเท่าไรก็ใช่ว่าเขาจะมารักเราอยู่ดี

 

ทอม: ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเปย์อยู่ คือเปย์ทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย (หัวเราะ)

 

มน: ทุกวันนี้เปย์เบาๆ ผลัดกันเปย์ ไม่ใช่เปย์ฝ่ายเดียวแล้วค่ะ (หัวเราะ) คนที่ใช่จริงๆ มันไม่ต้องเปย์ด้วยซ้ำ เขาจะมาหาเราเอง

 

โอ: ของผมเป็นบางเรื่องที่ไม่ได้ทำเต็มที่กับมันมากพอ เช่น สิ่งที่เรารักอย่างการเล่นดนตรีที่ตอนเรียนเราไม่ยอมเต็มที่ไปกับมัน ไม่อย่างนั้นเราอาจจะแต่งเพลงได้ดีกว่านี้ เล่นดนตรีได้เก่งกว่านี้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะมาถึงตรงนี้ด้วยซ้ำ เลยไม่ได้ตั้งใจมากพอ

 

มน: เออจริงนะ ถ้ารู้ว่าวันนี้จะได้มาเป็นศิลปิน เลือกเรียนดนตรีไปแล้ว (หัวเราะ)

 

โอ: อีกเรื่องหนึ่งคือผมจะไม่ใส่แว่นดำใหญ่ๆ อันนั้นตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำเพลงคัฟเวอร์ของ Room39 พอกลายเป็นภาพจำของทุกคนแล้ว มันทำให้ทุกวันนี้ผมลำบากมากเลยนะ เล่นดนตรีมืดๆ ตอนกลางคืนก็ต้องใส่แว่นดำ เดินตกเวทีก็บ่อย อันนี้ก็อยาก Restart มากเลย

 

ทอม: ส่วนของผมง่ายมาก คือผมจะไม่ย้อมผมสีทองแค่ข้างหน้าแบบที่เคยทำ แต่อย่าไปหารูปมาดูกันนะครับ (หัวเราะ) คือมันเคยเป็นแฟชั่นที่ฮิตในอเมริกานะ แต่พอเอามาอยู่ในเมืองไทยเท่านั้นแหละ Restart มันดีกว่า

FYI
  • คอนเสิร์ต The Truth in Room39 Concert ความจริงในห้องหมายเลข 39 จัดขึ้นในวันที่ 31 มีนาคม ณ ไบเทค บางนา บัตรราคา 1,500-4,000 บาท
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X