×

THE TOY BOY

12.09.2017
  • LOADING...

     ทอย-ธันวา บุญสูงเนิน ลัดคิวมาพูดคุยกับ THE STANDARD เรื่องความดื้อ
ที่ผลักดันให้ตัวเองก้าวสู่การเป็นคน
เบื้องหลัง การจับพลัดจับผลูจนได้ถ่ายทอดเสียงร้องในฐานะศิลปิน ความหลงใหลที่มีต่อผลงานเพลงที่จับต้องได้แบบยุคเก่า และเพลย์ลิสต์ส่วนตัวจากดนตรีแบบสตรีมมิงยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนโลกของหนุ่มวัย 21 ในทุกวัน

 

ทอยเรียนดนตรีด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านสถาบันไหน อยากรู้ว่ามันทำได้จริงๆ หรือ

     ผมว่าการเรียนดนตรีก็เหมือนภาษานะ เราไม่เคยเรียนภาษาไทย แต่เราก็พูดได้เอง ดนตรีก็เป็นแบบนั้น 
เราไม่เคยเรียน แต่ฟังเรื่อยๆ แล้วเราก็อยากเล่นให้ได้แบบนั้นบ้าง มันก็แค่นั้นเอง ผมเชื่อว่าสมอง
คนเรามีพัฒนาการ ถ้าอยากเล่น มันก็จะทำทุกวิถีทางที่จะได้เล่น  

 

ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนในเรื่องการเล่นดนตรี 
ทั้งๆ ที่ก็เป็นครอบครัวนักดนตรี

     เขาบอกว่าในสายอาชีพนี้มันมายาก คุณแม่เขารู้ว่ากว่าจะได้มาเป็นแบบนี้มันลำบาก เลยคิดว่าอย่าไปเสี่ยงเลย

“ผมมองว่าเพลงเหมือนต้นไม้ครับ 
เดินไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ ทีนี้อยู่ที่ว่าเราเดินไปต้นไหนแล้วรู้สึกเย็น เรารู้สึกว่าต้นนี้ใหญ่ดี เราก็หยุดพักตรงนั้น นั่นคือสิ่งที่มันเกิดขึ้น มีใครไปหย่อน 
ไปปลูกไว้ อะไรแบบนี้”

 

ถ้าไม่เล่นดนตรีแล้วอยากทำอะไร

     ที่บ้านก็คงอยากให้เป็นพนักงานบริษัทต่อไป แต่ผม
ก็ผูกพันกับเสียงเพลง เพราะที่บ้านก็เป็นนักร้อง 
นักดนตรีกันหมด ผมรู้สึกว่าต่อให้จะถูกขัดขวางยังไงก็ตาม ดนตรีมันก็เหมือนอยู่ในโครโมโซม ในดีเอ็นเอ ตอนแรกผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นศิลปิน เพราะที่ผ่านมา
ทั้งหมดผมจะอยู่ในส่วนของโปรดิวเซอร์ผลิตเพลง 
ผมเป็นโปรดิวเซอร์ให้วง Room39 ตั้งแต่อายุ 17  

 

ตอนนั้นคุณแสดงความสามารถ หรือมีทักษะอะไรที่ทำให้ค่ายเพลงให้โอกาสเป็นโปรดิวเซอร์เลย

     ผมทำงานมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุ 13 แต่ยังไม่มีผลงาน 
เราก็แค่ซ้อม ทำอยู่ประมาณ 4 ปี เล่นแบ็กอัพบ้าง 
แล้วผมสนิทกับพี่ต้า (สราวุธ เลิศปัญญานุช) ที่เป็นนักเขียนเพลง เพราะเราเคยแจมดนตรีกันบ่อยๆ 
เขาก็ลองให้ผมคุยกับศิลปินเพื่อให้ลองทำงาน คนแรก
ที่ผมเจอก็คือพี่อะตอม (ชนกันต์ รัตนอุดม)

 

เครื่องดนตรีทุกอย่างนี่ฝึกเองจากการดูยูทูบ

     อย่าเรียกว่าเรียนจากยูทูบเลย เพราะผมเรียนทุกอย่างจากการฟังเพลงจริงๆ ยูทูบแค่ส่วนหนึ่ง เหมือนเราเดินออกจากบ้าน ทุกอย่างรอบตัวคือการเรียนรู้หมด

 

ศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทอย

     มีเยอะเลย แต่ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ สกริลเลกซ์ (Skrillex) เป็นโปรดิวเซอร์ เวลาฟังเพลงเขาแล้วลองดูเครดิตนะ 
จะมีชื่อเพลง ชื่อศิลปิน แต่ไม่ใช่เสียงของเขาเลย แล้ว
ก็ฟีเจอริงกับนักร้องไปมากมาย นั่นทำให้ผมคิดว่าเขามีชื่อเป็นศิลปิน แต่ไม่มีเสียงเขาเลย แล้วเขาอยู่ตรงไหน เขาก็คือคนสร้างผลงาน

 

คุณทำได้ทุกอย่าง เล่นดนตรี ทำโปรแกรมเองหมด คิดว่ามันสามารถทำแบบนี้ได้ทุกคนไหม

     ก็ต้องลองดูครับ อย่างที่บอกว่าผมมองดนตรีเหมือนภาษา เราไม่เคยเรียน แล้วเราคุยกันได้ยังไง ผมว่าถ้าเราคลุกคลีกับมันมากๆ มันก็รู้เองได้นะ ตอนอายุ 13 ผมเริ่มทำไปด้วย เรียนไปด้วย ถ้าพีกจริงๆ คือประมาณ ม.4 ม.5 ตอนนั้นมีงานโปรดิวซ์ให้ศิลปินคนอื่นอยู่แล้ว เป็นหัวหน้า Music Production คือมีนักดนตรีมาอัดภายใต้สกอร์ที่ผมเขียนไว้ ภายใต้ไอเดียที่ผมคิดขึ้นมา

 

คิดว่าต้องใช้ประสบการณ์ขนาดไหนในการทำงานโปรดิวเซอร์

     ของผมมันเริ่มต้นเร็วครับ บางคนบอกว่า เฮ้ย นายอายุยังน้อยแล้วขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงวะ ผมจะบอกว่า
ก็ผมเริ่มต้นเร็วไง คือบางคนเรียนดนตรีจบตอนอายุประมาณ 21 พออายุ 26 ได้เป็นโปรดิวเซอร์ แล้วมันต่างยังไงกับผมที่เริ่มต้นตอนอายุ 13 เวลาของผมกับเขาที่ใช้เรียนรู้ก็เท่ากัน เพียงแต่ผมเริ่มเร็วกว่า

 

ก่อนมาถึงจุดนี้ มีบางแวบที่รู้สึกว่าไม่ไหวไหม

     ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ผมมีแต่ไฟ คือช่วงนั้นเรียกว่าบ้าเลยก็ได้ ไฟแรงมาก ไม่มีใครเชื่อในตัวเรา เพราะว่าเราเป็นเด็ก ไม่เคยมีเด็กที่เดินเข้าไปค่ายเพลงแล้ว
ขอทำโปรดิวซ์​ เต็มที่เขาก็คิดว่าเราไปขอสมัครงาน 
เขาอาจจะถามว่า มาทำอะไรน้อง เก็บสายไฟเหรอ (หัวเราะ)  

“ผมว่าการเรียนดนตรี
ก็เหมือนภาษานะ เราไม่เคยเรียนภาษาไทย แต่เราก็พูด
ได้เอง ดนตรีก็เป็นแบบนั้น 
เราไม่เคยเรียน แต่ฟังเรื่อยๆ แล้วเราก็อยากเล่นให้ได้
แบบนั้นบ้าง มันก็แค่นั้นเอง ผมเชื่อว่าสมองคนเรามีพัฒนาการ ถ้าอยากเล่น มันก็จะทำทุกวิถีทางที่จะได้เล่น”

 

ตอนนั้นอายุเท่าไร รู้จักใครตอนที่เดินเข้าไปสมัคร

     ตอนนั้นอายุประมาณ 14-15 ผมมีรุ่นพี่ที่รู้จักบ้าง ก็ให้รุ่นพี่ช่วยฝาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ และตอนนั้นก็ไม่ได้ถืองานอะไรเข้าไปด้วย ไม่มีเลย

 

อยู่ๆ ก็มาดังจากยูทูบ

     ตอนนั้นผมปล่อยเพลงไว้ในยูทูบ ผ่านไปประมาณ 1 ปี
แล้วก็เพิ่งมาได้ยินบนรถแท็กซี่ วันนั้นจะไปเตะบอล
กับเพื่อน ผมก็ตกใจ นั่นคือเพลง หน้าหนาวที่แล้ว 
สรุปก็คือคนโทรไปขอเพลง พอรู้ว่ามีคนฟัง ผมก็เลย
เข้าไปเช็กเพลงของตัวเอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเสิร์ช
ตรงนั้นเลย ปรากฏว่ามีคนเข้ามาฟังเยอะมาก ตกใจมาก สำหรับผมตอนนั้นล้านวิวถือว่าเยอะมาก ไม่เคย
แชร์ที่ไหนมาก่อน ตอนนั้นอายุ 19 ปลายๆ ชนะ
แข่งกีตาร์แล้ว แต่ส่วนใหญ่คนจะรู้จักผมในฐานะของนักแต่งเพลงและแชมป์กีตาร์ร็อก (Overdrive Guitar Contest ครั้งที่ 9) ไม่เกี่ยวกับการเป็นศิลปินเลย

 

ตอนที่ประกวด ใครเป็นคนส่ง

     ผมส่งตัวเองครับ ผมไม่ได้คิดว่าจะชนะอยู่แล้ว แต่พอถึงวันสุดท้ายของกำหนดส่งเข้าประกวด เพื่อนผม
เอากีตาร์มาเปลี่ยนสาย แล้วกีตาร์เพื่อนแพงมาก ประมาณแสนกว่าบาท ผมอดใจไม่ได้จริงๆ ก็เลยบอกเพื่อนว่าขอยืมถ่ายคลิปหน่อย ถ่ายเล่นๆ เลย แล้วก็ส่งคลิปไป ก็เข้ารอบแรก และเข้ารอบลึกไปเรื่อยๆ พอต้องเล่นจริงก็ขอยืมกีตาร์ของพี่แชมป์ Instinct (ธนัช เมทะนะยานนท์) ครับ แล้วก็ตู้แอมป์ของอีกคนหนึ่ง เท่ากับว่าวันนั้นสิ่งเดียวที่เป็นของผมคือปิ๊ก

 

แล้วชอบเรื่องการร้องเพลงอยู่แล้วหรือเปล่า

     ไม่เลยครับ ผมเป็นคนเบื้องหลังมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมไม่ได้อยากเป็นนักร้องอะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ถนัดเท่าไร เราไม่ใช่เอ็นเตอร์เทนเนอร์

 

แล้วเพลงที่ร้องอยู่ ใครออกแบบการร้องให้

     ผมคิดทำเองครับ มันเริ่มมาจากเพลง หน้าหนาวที่แล้ว คือผมตั้งใจทำเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อไปขายค่ายอาร์เอส 
ให้ศิลปินคนหนึ่งในกามิกาเซ่ร้อง ซึ่งพอดีว่าเขาปฏิเสธกลับมาว่าไม่เอา เขาไม่ซื้อ ผมก็เลยเสียดายมากว่า
ไม่มีใครร้องเลย สองเดือนต่อมา ผมหางานที่จะส่ง
คนอื่น แล้วพอดีว่ามันผ่านกลับมาที่เพลงตัวเองที่เราทำไว้เนี่ย เราก็รู้สึกเสียดาย กว่าจะเป่าแซกโซโฟน กว่าจะทำอะไรลงไปทั้งหมดมันช่างยาวนาน เราก็เลยคิดว่า
อัดเอง ร้องเองแล้วกัน เพราะอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยทำ
คือร้องเพลง นั่นก็เลยเป็นเพลงแรกที่ร้องแล้วก็อัดเอง

 

ดนตรีทุกอย่างในเพลงนั้น คุณเป็นคนอัดเอง

     ทำคนเดียว mix mastering คนเดียวครับ ตอนนั้นไม่มีนักดนตรี ไม่มีลูกน้องช่วย เราก็ต้องทำโปรดักชันเอง
คนเดียว เล่นเองทุกอย่าง กลอง คีย์บอร์ด กีตาร์ เบส แซกโซโฟน เพอร์คัสชัน

 

ตอนอยู่ในแท็กซี่แล้วเสิร์ชเจอว่าได้ล้านวิว รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รู้จักหรือยัง รู้สึกอย่างไรบ้างตอนนั้น

     ตอนนั้นรู้สึกทุกอย่างเลยครับ มันงง เอ๊ะ ใครหลง
เข้ามาฟังวะ คิดผิดหรือเปล่า วันนั้นผมจะไปเตะบอลกับเพื่อน พอถึงที่ก็รีบบอกเพื่อนเลยว่า เฮ้ย ใครแกล้งกู
หรือเปล่าวะ เพื่อนก็งงนะ เพลงที่เราไม่เคยแชร์เลย
สักครั้งมันมีคนเข้ามาฟัง แล้วตอนนั้นคือมันพุ่งเลย 
จากล้านก็ขึ้นไปตลอด เป็น 5 ล้าน จาก 5 ไปเป็น 10 เป็น 20 เป็น 40 ตอนนี้น่า 40 กว่าๆ

 

ทอยมีความดื้อในการที่จะพิสูจน์ตัวเอง ประกวดการเล่นกีตาร์ เดินไปค่ายเพลงเอง ตอนนั้นทอย
มีความเชื่อในความสามารถของตัวเองมากน้อย
แค่ไหน

     ผมว่าสิ่งที่หลายๆ คนทำน่ะ ผมสามารถทำได้ ผมก็แค่รู้สึกว่าอยากลองทำบ้าง พอทำแล้วเราก็ทำได้นี่ ก็แค่เอาผลงานที่ลองทำไปส่งเขา

 

ตอนนี้ยังมีอะไรที่อยากพิสูจน์ตัวเองอีกไหม

     เรื่องนี้ผมว่ามันไม่จบไม่สิ้นนะครับ อย่างเราขึ้นมาอยู่ตรงนี้ได้ เราก็อยากทำอะไรใหม่ๆ ให้กับวงการ

 

คิดว่าวงการเพลงในอนาคตจะเป็นอย่างไร

     ไม่ค่อยนิ่งเลย คือถ้าคิดเป็นกราฟ มันขึ้นไปตามสิ่งที่
ควรจะเป็น จากนั้นก็จะมีวงหนึ่งที่ดึงลงมา แล้วก็เกิด
วัฏจักรขึ้นไปใหม่ อย่างปีที่ผ่านมา 70s 80s 90s 2000s
ถูกดึงลงมาเป็น 80s รสนิยมของคนกลับมาที่เดิม 80s
 90s 2000s แล้วมันจะเป็นยังไงต่อเราก็ไม่รู้ แนวเพลง
ที่หายไปถูกนำกลับมาประยุกต์ใช้ให้มันทันสมัย แล้วก็
กลายเป็นสิ่งใหม่ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนผู้ใหญ่มองว่าเชย 
แต่เด็กสมัยใหม่มองว่าโคตรล้ำ มันคล้ายๆ แฟชั่น

 

เพลงยุคไหน แนวไหนที่ฟังได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ

     ผมชอบฟังหลายแนวมาก ตอบตัวเองไม่ได้ ผมฟัง
ทุกแนว แจ๊ซ ลูกทุ่ง แม้กระทั่งเพลงในผับก็ฟัง

 

ยังโตไม่พอที่จะรู้ว่าชอบแนวไหนหรือเปล่า

     ผมมองตรงข้ามครับ อย่างได้รับโจทย์มาวันนี้ว่าให้ทำวง POTATO ผมก็ต้องทำร็อก แต่ขณะเดียวกันผมก็ต้องทำให้กับนิว-จิ๋ว ถ้าเราเลือกฟังแนวใดแนวหนึ่งแล้วเราชอบ จบเลย การโปรดิวซ์จะไม่เกิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ทุกอย่างจะอยู่กับที่ เหมือนทำอาหารน่ะครับ ถ้าเราชอบกินเผ็ด เราก็จะทำหวานไม่ขึ้น

 

ทุกวันนี้คุณแม่มองความสำเร็จของทอยอย่างไร

     คุณแม่ไม่ได้ยุ่งเลย ด้วยความที่บ้านผมเป็นคนดุ 
ทั้งคุณแม่ คุณป้า กลายเป็นว่าพอเราขึ้นมาได้ถึงจุดนี้ เต็มที่เขาอาจจะไม่ได้บอกว่า “เฮ้ย ลูกเก่งมาก” เขาก็แค่ปล่อย อยากทำอะไรก็ทำ แม่จะไม่ยุ่ง ไม่ห้าม

 

ในเมื่อที่บ้านเข้มงวด แล้วทอยสื่อสารอย่างไรเพื่อจะทำในสิ่งที่ชอบ

     ก็เหมือนขอของเล่นน่ะ เราก็พูดตรงๆ ว่า “แม่ครับ ทอยอยากโปรดิวซ์” แม่ก็ท้วงว่า “จะบ้าหรือเปล่า โปรดิวซ์อะไร” นี่เป็นคำพูดของแม่ และเป็นประโยคที่ผมจำ
จนทุกวันนี้ “กลับไปเรียนเลขก่อน” ตอนนั้นผมกำลังเรียนตรีโกณมิติ เรารู้สึกว่าถ้าเราเรียนจบ ม.6 แล้วไปเรียนด้านดนตรีที่เราอยากเรียน เมื่อเราอายุ 22 เราจะ
สู้เขาได้ไหม เลยคิดว่าเราเลือกทำวันนี้ไปเลยดีกว่า 
ผมอยากทำอะไร ผมต้องได้ทำเท่านั้น ตอนนั้นผมดื้อมากกับสิ่งที่ผมไม่เชื่อ ผมเป็นคนที่อยากรู้อะไรต้องได้รู้
ผมค้างคามากว่าเพลงมันเกิดขึ้นมายังไง แค่คำถามเดียวทำให้เราเป็นถึงขนาดนี้

 

รู้สึกว่าโชคดีไหมที่มาถึงจุดนี้ได้

     มากๆ เลยครับ ผมไม่คิดว่าจะขึ้นมาจุดนี้ได้ เราไม่ใช่
นักร้องที่เริ่มต้นจากการอยากร้องเพลง ผมแค่คิดว่า
วันนี้เราอยากเดินเข้ามาสร้างอะไรใหม่ๆ ให้กับวงการ

 

ทอยเริ่มเล่นดนตรีด้วยกีตาร์เป็นหลักโดยที่ไม่ได้เรียนเป็นเรื่องเป็นราว แต่ฝึกฝนเอง รู้ได้อย่างไรว่าช่วงไหนต้องเล่นอย่างไร โน้ตตัวนี้อยู่ตรงไหน 
ช่วงไหนต้องโซโล

     ตอนเป็นเด็กเราก็พูดผิดๆ ถูกๆ นะครับกว่าจะคุยรู้เรื่อง กีตาร์ก็เหมือนกันครับ กว่าเราจะหาเจอว่ามันพูดอะไร
 เราก็ลองหัดพูดดูบ้าง คิดแค่นั้น ผมไม่เคยคิดว่าซีเมเจอร์ สเกลประกอบไปด้วย 3 5 7 9 หรืออะไรทั้งนั้น

 

การฟังเพลงสมัยก่อนจะมีวอล์กแมนหรือซาวด์อะเบาต์ ทอยรู้จักไหม

     วอล์กแมนคืออะไรครับ แต่ซาวด์อะเบาต์รู้จัก

 

วอล์กแมนก็เป็นเครื่องเล่นซาวด์อะเบาต์ยี่ห้อหนึ่ง ถัดจากยุคแผ่นเสียง คาสเซตต์ ก่อนจะเข้าสู่ยุคซีดี ที่บ้านยังมีคาสเซตต์ไหม

     มีครับ ผมชอบยุคนั้นเพราะรู้สึกว่าเพลงมีค่าและ
จับต้องได้ มันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสมัยนี้ที่เพลงมีราคาถูกกว่าชาเขียว 19 บาท  ในบางแอปพลิเคชันเพลงถูกมากเลย แต่เราก็ไม่ซื้อ สมัยก่อนไวนิลซีดีแผ่นหนึ่งเป็นหลักร้อย หลักพัน ยุคนั้นเป็นยุคเฟื่องฟูสำหรับวงการเพลง

 

ทำไมทอยถึงหลงใหลผลงานเพลงที่จับต้องได้ เพราะเด็กยุคใหม่ส่วนใหญ่โตมากับยูทูบ โฟร์แชร์ และสตรีมมิง

     ที่ชอบเพราะผมคิดว่าเพลงสมัยก่อนเพราะกว่าเพลงสมัยนี้ อย่างที่ผมบอก เพลงสมัยก่อนมีราคามากนะ แพงกว่าตอนนี้อีก ในยุคนั้นค่าเงินก็ต่างกันด้วย แล้วคนก็ซื้อฟังกันเยอะมาก ขณะที่ตอนนี้ทุกคนไม่ซื้อเพลง  

 

เพราะฟังได้ฟรี…

     ใช่ครับ ผมเลยคิดว่าตอนนั้นเพลงน่าจะเป็นอะไรที่มีค่ามากๆ ทำให้ผมอยากรู้จักการฟังเพลงในยุคนั้นมากกว่าตอนนี้

 

เดี๋ยวนี้การดาวน์โหลดหรือสตรีมมิงมันง่ายจนเพลงอยู่ในชีวิตเรา สามารถฟังได้ตลอดเวลา 
โดยส่วนตัวทอยมองคุณค่าของเพลงอย่างไร

     ผมมองว่าเพลงเหมือนต้นไม้ครับ เดินไปทางไหนก็มี
แต่ต้นไม้ ทีนี้อยู่ที่ว่าเราเดินไปต้นไหนแล้วรู้สึกเย็น 
เรารู้สึกว่าต้นนี้ใหญ่ดี เราก็หยุดพักตรงนั้น นั่นคือสิ่งที่มันเกิดขึ้น มีใครไปหย่อน ไปปลูกไว้ อะไรแบบนี้

 

เพื่อนๆ ซื้อเพลงของทอยไหม

     ไม่ซื้อครับ นอกจากไม่ซื้อแล้วยังบอกว่า “อย่าเปิดให้กูฟังนะ” (หัวเราะ)

 

ทอยสร้างเพลย์ลิสต์บ้างไหม เวลาฟังแบบสตรีมมิง

     เคยสร้างอยู่ครับ แต่ตอนนี้ไม่ได้สร้างแล้ว แต่ก่อนเพลงที่ฟังก่อนนอนก็จะเป็นพวกอาร์แอนด์บี ถ้าฟังตอนวิ่งก็จะเน้นสเต็ป ฟังตอนกินข้าวอาจจะเป็นเพลงแจ๊ซ 
ผมจะเซตลิสต์ไว้อย่างนั้น

 

ตอนอายุ 13 เพลย์ลิสต์ของทอยเป็นอย่างไร

     ตอนนั้นผมฟังทุกอย่างครับ ไม่เคยหยุดนิ่งเลย เข้าห้องน้ำก็มีเพลย์ลิสต์ มีแทบจะทุกช่วงของวันเลย ถ้าวันไหนเงียบปุ๊บจะอยู่ไม่ได้ครับ จะรู้สึกว่ามันเงียบมาก
 กลายเป็นว่าผมเสพติดเสียงเพลงไปแล้วในตอนนั้น เป็นอย่างนั้นประมาณ 2-3 ปี สุดท้ายก็เริ่มคลายลง

 

มีช่วงที่ฟังดนตรีจนเบื่อไหม

     สำหรับผมจะฟังเพลงเดิมจนเบื่อก่อนแล้วค่อยเปลี่ยน เพลงหนึ่งก็จะฟังอยู่ประมาณ 7 วันจนเบื่อ แล้วก็เปลี่ยน

 

ที่ผ่านมาเพลงอะไรที่ฟังนานที่สุด

     น่าจะเป็น Let It Snow ของ Boyz II Men เก่ามากครับ แล้วน้อยคนที่จะรู้จักเพลงนี้ หาฟังยาก

 

อาร์แอนด์บีคือแนวเพลงที่ชอบและมีผลต่อการร้องของทอยใช่ไหม

     ใช่ครับ มันซึมซับมาจากพวกนี้ แต่ตรงกันข้าม กีตาร์ของเรานี่เป็นร็อก

 

เพลงไทยที่ชอบล่ะ… The Toys ไหม

     The Toys เพลงของใครครับ ผมไม่รู้จักเลย (หัวเราะ)

 

5 เพลงที่ฟังบ่อยที่สุดตอนนี้

     (นึกนาน) เพลงแรก Let It Snow ของ Boyz II Men 
ผมยังฟังอยู่ ไม่เบื่อเลย แล้วก็เพลง Gang ของ YB เป็นกลุ่มฮิปฮอปสมัยใหม่กึ่งใต้ดินนิดๆ ของไทย แล้วก็เพลง Physical Education ของ Animals As Leaders สี่ก็คือ พบกันใหม่ ของ Polycat แล้วเพลงสุดท้ายก็คือ Bubbly ของโคลบี คัลเลต์

 

เพลงที่ชอบที่สุดที่แต่งเองล่ะ

     ผมชอบเพลง ถ้าตรงนั้นมีความสุข ของนิว-จิ๋ว

 

ซีดีแผ่นสุดท้ายที่ซื้อคือ…

     Tattoo Colour ชุดที่เป็นปลาหมึกน่ะครับ (ตรงแนวๆ, 2553)

 

แล้วสตรีมมิงเจ้าไหนที่เราฟัง

     ฟังหมดเลยครับ

 

เจ้าไหนที่ฟังบ่อยสุด

     เอาจริงๆ ผมตอบไม่ได้ เพราะว่าผมฟังไปหมดเลย 
เพลย์ลิสต์ที่เปิดบางทีไม่รู้ว่าของอะไร

 

วันหนึ่งทอยแทบจะอยู่กับเพลงตลอด 24 ชั่วโมง…

     ใช่ครับ

 

โลกนี้คือเสียงเพลง

     ใช่ครับ โลกนี้คือเสียงเพลง

 

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X