เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ ‘คลินิกเสริมความงาม’ ส่วนใหญ่ในประเทศไทยถูกฉาบเคลือบด้วยภาพจำแสนเลวร้ายแบบเหมารวม ทั้งการยัดเยียดขายคอร์ส ขายโปรแกรมลูกค้าแบบ Hard Sell ที่มุ่งแต่จะขาย หวังแต่จะเอาเงิน แต่ในระยะยาวกลับไม่ดูแลลูกค้าและคนไข้อย่างเอาใจใส่อย่างที่ควรจะเป็น ในวงเล็บที่ว่า ไม่ใช่คลินิกเสริมความงามทุกแห่งจะมีแนวทางการดำเนินงานตามภาพจำเชิงลบแบบนี้ แต่ก็พลอยถูกเหมารวมไปด้วย
ด้วยชนักติดหลังในประเด็นเดียวกัน ด้วยเพนพอยต์ที่ประสบพบเจอไม่ต่างกัน จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ นพ.เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช หรือที่หลายๆ คนรู้จักและคุ้นเคยในชื่อ ‘หมอริท’ ตัดสินใจเปิดคลินิกเสริมความงาม ‘THE RITZ CLINIC’ โดยปัจจุบันได้เดินหน้าเข้าสู่ปีที่ 5 ของการให้บริการแล้ว
ความตั้งใจของ นพ.เรืองฤทธิ์ ไม่ใช่แค่ล้างมุมมองเชิงลบที่ผู้คนมีต่อคลินิกเสริมความงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังหมายรวมถึงความพยายามที่จะสร้างแรงกระเพื่อมที่นำไปสู่การสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการคลินิกเสริมความงามด้วย (ทั้งๆ ที่เจ้าตัวบอกว่าควรจะเป็นเรื่องธรรมดาด้วยซ้ำ)
ควบคู่ไปกับการให้บริการลูกค้า ดูแลคนไข้อย่างจริงใจ และสร้างผลลัพธ์ปลายทางของการดูแลรักษาเพื่อให้คนไข้ที่เข้ามารับบริการที่ THE RITZ CLINIC พึงพอใจที่สุด
เด็กต่างจังหวัด ค่านิยมการเป็นหมอ และความรักในการได้ช่วยเหลือผู้อื่น ความในใจของ นพ.เรืองฤทธิ์
เราเชื่อว่าช่วงชีวิตวัยเด็กของผู้อ่าน THE STANDARD จำนวนไม่น้อยน่าจะถูกปลูกฝังด้วยค่านิยมเรื่องอาชีพที่เหมือนกันๆ โดยเฉพาะค่านิยมเรื่อง ‘การเป็นหมอ’ ที่พ่อแม่ ผู้ใหญ่ มักจะติดตั้งโปรแกรมให้กับลูกๆ หลานๆ ของตัวเองว่าเป็นอาชีพที่สูงส่ง นำพามาซึ่งเกียรติยศ ความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ในระยะยาว ซึ่งในมุมหนึ่งก็เป็นข้อเท็จจริง แต่ขณะเดียวกัน ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมแลกมาด้วยมวลความกดดันก้อนมหาศาลที่อาจจะกดทับใครหลายคน พร้อมๆ กับความทุ่มเท ความเสียสละ ที่ยากเกินกำลังที่ใครบางคนจะแบกรับ
เรื่องเดียวกันนี้ก็เป็นเรื่องที่ นพ.เรืองฤทธิ์ ต้องประสบพบเจอในช่วงวัยเด็กเหมือนๆ กัน ซึ่งแม้แต่เจ้าตัวที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘หมอ’ ในปัจจุบันพร้อมคำนำหน้านายแพทย์ ก็ยังลังเลชั่งใจด้วยซ้ำว่า จริงๆ แล้วเขาอยากเป็นหมอด้วยตัวเอง หรือเพียงเพราะถูกปลูกฝังค่านิยมดังกล่าวกันแน่
“ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า การที่เด็กต่างจังหวัดสักคนกล้าตอบคำถามผู้ใหญ่อย่างเต็มปากเต็มคำชัดเจนว่า ‘โตขึ้นอยากเป็นหมอ’ มันคือที่สุดของเด็กต่างจังหวัดในยุคสมัยของริทเลยก็ว่าได้
“ถ้าถามริทตรงๆ เอาจริงๆ เราก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าเราอยากเป็นหมอจริงๆ หรือเราถูกปลูกฝังมาเรื่อยๆ ว่าเราอยากเป็นหมอกันแน่ ทั้งนี้ทั้งนั้น พื้นฐานตัวเราเองเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่น ชอบแก้ไขปัญหาให้คนอื่นให้ได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
ขีดเส้นใต้แบบย้ำๆ ตรงคำว่า ‘ชอบช่วยเหลือ ชอบแก้ไขปัญหาให้คนอื่น’ ที่หมอริทบอกกับ THE STANDARD ซึ่งอาจอนุมานได้ว่า ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขามีความสุขกับการได้ดูแลรักษาคนไข้ ได้ช่วยเหลือคนไข้ที่เดินทางมาหาด้วยความต้องการในการเข้ารับการรักษาที่ต่างกันออกไป
ไม่แปลกใจที่เมื่อราวๆ 10 ปีที่แล้วเจ้าตัวจะตัดสินใจหันหลังให้กับวงการบันเทิงในช่วงที่กำลังรุ่งโรจน์จนถึงขีดสุด เดินหน้าตามความตั้งใจจนสามารถจบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และระดับปริญญาโทที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาควิชาตจวิทยา (MSc Cosmetic Dermatology) หลักสูตรนานาชาติ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สำเร็จ
‘THE RITZ CLINIC’ กับ 5 ปีของจุดเล็กๆ ที่มุ่งหวังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้วงการคลินิกเสริมความงามไทย
ในช่วงปี 2562 หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ประเทศไทย (และอีกหลายประเทศทั่วโลก) กำลังเผชิญกับวิกฤตโควิด นพ.เรืองฤทธิ์ ได้ตัดสินใจก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง เลือกเดิมพันครั้งใหญ่ด้วยการทำในสิ่งที่สวนทางกับภาพรวมของเศรษฐกิจ ณ เวลานั้น นั่นคือการเปิด THE RITZ CLINIC คลินิกเสริมความงามภายใต้การบริหารงานของตัวเองอย่างเป็นทางการครั้งแรก
โดยสร้างจุดตัดความแตกต่างด้วย 2 Key Purposes หลักในการบริหารงาน ประกอบไปด้วย
- นวัตกรรมและเทคโนโลยี
- การดูแลคนไข้ด้วยความจริงใจ
ปัจจุบัน THE RITZ CLINIC กำลังเดินหน้าสู่ปีที่ 5 และขยายไปสู่สาขาที่ 8 ของการให้บริการ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การจะยืนหยัดในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ขึ้นชื่อเรื่องความเคี่ยว ปราบเซียน คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เป็นผลจาก ‘ความตั้งใจดี’ ของ นพ.เรืองฤทธิ์ ที่ทั้งใส่ใจและจริงใจในการให้บริการ และรักษาคนไข้ทุกคนที่ผลักประตูเข้ามายังคลินิกของเขา เลือกไม่ทำในสิ่งที่คลินิกเสริมความงามหลายแห่งมักทำกัน นั่นคือการ Hard Sell ยัดเยียดขายคอร์ส
“ทุกวันนี้เราทำคลินิกเป็นงานหลักราวๆ 80-90% เราตัดสินใจเปิดให้บริการ THE RITZ CLINIC มาตั้งแต่ช่วงโควิดในปี 2562 ปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 5 ของการให้บริการแล้ว โดยคอนเซปต์ของการให้บริการจะยึดถือ 2 เรื่องเป็นหัวใจสำคัญ ประการแรกเลยคือ นวัตกรรมและเทคโนโลยี เนื่องด้วยเรามองว่านวัตกรรมและเทคโนโลยีมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาแต่ละอย่างให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในวงการการแพทย์ที่ทำให้เกิดการรักษารูปแบบใหม่ๆ มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
“ประการถัดมาคือ การดูแลลูกค้าด้วยความจริงใจ ซึ่งที่ THE RITZ CLINIC เราจะให้ ‘แพทย์’ เป็น ‘ผู้ประเมิน’ ว่าคนไข้แต่ละคนควรจะได้รับการรักษาแบบใด เพื่อจุดประสงค์อะไร ไม่ใช่เป็นใครก็ไม่รู้ที่จะมาบอกคนไข้ว่าคุณต้องทำตามโปรแกรมนี้นะ 1 2 3 4 เราจะให้คนไข้ทุกคนได้วางแผนการรักษาร่วมกับแพทย์
“ก่อนหน้านี้เรามักเจอปัญหาภาพจำของคลินิกเวชกรรมความงามจำนวนไม่น้อยที่มาด้วยภาพลักษณ์สีเทาๆ ไม่ตรงไปตรงมา การดึงคนไข้เข้ามาในคลินิกแล้วมัดมือชกเขารูดบัตรเครดิตทั้งๆ ที่เขายังไม่รู้ตัวเลยว่ารูดซื้ออะไรไป ซึ่งเพนพอยต์ในมุมนี้เป็นสิ่งที่เราตั้งธงไว้ในใจตั้งแต่แรกเลยว่า ถ้าเรามีโอกาสทำคลินิกเวชกรรมความงามเป็นของตัวเอง เราจะไม่มีวันทำในวิถีทางดังกล่าวเป็นอันขาด
“เราจะบอกทีมงานของเราทุกคนตั้งแต่วันแรกเสมอว่า อย่าไปสนใจใคร อย่าไปมองเพื่อนรอบบ้านเรา ใครจะทำอย่างไร ใช้วิธีการไหน ไม่ต้องไปสนใจเขา เราทำของเราด้วยวิธีการและโจทย์แบบ THE RITZ CLINIC (เน้นให้ทีมแพทย์วางแผนการรักษากับคนไข้ ไม่ใช่การเน้นขายคอร์สเพื่อแสวงหากำไร) ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ของเรา”
นอกจากจริงใจ ไม่ยัดเยียด ผลิตภัณฑ์และเครื่องมือที่ใช้ก็ต้องได้รับการรับรองมาตรฐานขั้นสูงเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ในเชิงภาพรวม เราจะเห็นว่าตลาดคลินิกเวชกรรมความงามในประเทศไทยถือเป็นตลาดขาขึ้น สังเกตได้จากจำนวนคลินิกความงามที่ผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก และพฤติกรรมของผู้คนในโลกยุคปัจจุบันที่หันมาใส่ใจความสวยความงาม มีมุมมองเรื่องการทำหัตถการทั้งเพื่อความสวยและการชะลอวัยที่เปลี่ยนแปลงไป
ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยออกมาประเมินว่า ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยในปี 2566 น่าจะมีมูลค่าตลาดถึงราวๆ 71,000-72,000 ล้านบาท ขยายตัวราว 2.3-3.6% (YoY) จากปีก่อนหน้า ซึ่งแม้จะยังไม่สูงเท่าช่วงก่อนโควิด แต่ก็ยังคงเป็นอัตราการเติบโตที่น่าสนใจอยู่ดี
อย่างไรก็ดี หากมองไปยังอนาคตข้างหน้า อุตสาหกรรมนี้ก็นับว่าเต็มไปด้วย ‘ความท้าทาย’ มากมายหลายประการ ทั้งปัญหาการขาดแคลนบุคลากรการแพทย์ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่แลกมาด้วยต้นทุนมหาศาล และความสามารถในการดึงลูกค้ามาใช้บริการให้ได้มากครั้งและสม่ำเสมอ
โดยทิ้งท้ายไว้ว่า การเติบโตของผู้ประกอบการแต่ละรายในตลาดนี้ขึ้นอยู่กับ ‘ความสามารถในการตอบโจทย์ลูกค้า’ ทั้งด้านค่าบริการ รสนิยม คุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการ รวมถึงผลลัพธ์หรือความพึงพอใจในผลงานของแพทย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ THE RITZ CLINIC ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากนับตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้บริการ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงทำให้พวกเขาสามารถขยายสาขาได้อย่างแข็งแกร่ง และมีคนไข้ประจำที่ไว้วางใจในทีมแพทย์กลับมาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ
“เครื่องมือแพทย์ทุกชิ้น ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่จะเข้ามาใช้งานใน THE RITZ CLINIC เราจะเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง ผ่านการทดลองด้วยตัวเองเท่านั้น โดยยึดมาตรฐานของสหรัฐฯ เป็นตัวตั้ง นอกจากนี้ก็จะให้ความสำคัญกับบริษัทผู้ผลิตและตัวแทนจัดจำหน่ายด้วย
“อย่างตัวแทนจัดจำหน่ายในประเทศไทยที่เราไว้วางใจคือ Allergan Aesthetics ซึ่งทาง THE RITZ CLINIC ก็ใช้ผลิตภัณฑ์ของเขาในทุก SKU เพราะบริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทที่ได้รับมาตรฐานโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของคุณหมอทั่วโลก ทำให้เราและ THE RITZ CLINIC รู้สึกสบายใจที่จะเลือกใช้งานและดูแลคนไข้ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือความพึงพอใจที่คนไข้ของเราฟีดแบ็กมายังการรักษาของเรา” นพ.เรืองฤทธิ์ บอกกับเรา
เขาเล่าต่อว่า เทรนด์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่ในปัจจุบันคาดหวังที่จะได้ ‘ผลลัพธ์ของการรักษา’ ที่เห็นผลได้รวดเร็ว ปลอดภัย ได้มาตรฐาน นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ THE RITZ CLINIC เข้มงวดมากๆ กับการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์แต่ละราย รวมไปถึง Allergan Aesthetics ที่พวกเขาทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกันมาโดยตลอด
“เทรนด์ส่วนใหญ่ของผู้บริโภคในปัจจุบันคือต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว อยากเห็นผลทันที ซึ่งก็จะตอบโจทย์ได้ด้วยการทำหัตถการในกลุ่มการฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็ม โดยที่ฟิลเลอร์ในไทยก็มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อมาก แต่ THE RITZ CLINIC จะเลือกเฉพาะฟิลเลอร์ที่ผ่านมาตรฐานการรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ มาใช้กับคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการที่คลินิกของเราเท่านั้น ยี่ห้ออื่นๆ เราไม่ใช้เลย
“สิ่งเหล่านี้เลยทำให้ลูกค้าของ THE RITZ CLINIC รับรู้ได้ทันทีว่า มาตรฐานการให้บริการของเรา ตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือที่เรานำมาให้บริการกับพวกเขา อยู่ในระดับที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพสูง เชื่อใจได้ ที่สำคัญยังเห็นผลได้ทันทีที่ฉีด อย่างตัวฟิลเลอร์ที่เราใช้ก็ได้รับฟีดแบ็กว่าอยู่ได้นาน ถูกใจกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นมาก”
ฝันเล็กๆ ของหนึ่งในชิ้นส่วนฟันเฟืองที่อยาก Set Normal วงการคลินิกเสริมความงามไทย
อย่างที่ได้เกริ่นไปในช่วงต้นๆ ว่า หนึ่งในความตั้งใจในการทำคลินิก THE RITZ CLINIC ของ นพ.เรืองฤทธิ์ นอกเหนือจากการให้บริการที่ดี มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ก็คือการล้มล้างมุมมองเชิงลบที่ผู้คนมีต่อวงการคลินิกเสริมความงามในประเทศไทยให้ได้สำเร็จ โดยการสร้างมาตรฐานใหม่เป็นแบบอย่างให้กับคลินิกความงามในไทย
“ริทเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความฝันมาก เราจะเป็นคนที่ฝันใหญ่ไว้ก่อน แต่ไปถึงไหมนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผ่านมามีคนเคยมายื่นข้อเสนอซื้อคลินิกเราด้วยเงินมูลค่ามหาศาล ชนิดที่ว่าไม่ต้องทำงานอีกเลยก็ได้ตลอดชีวิตนี้ สบายแล้ว แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจบอกปัดไป เพราะมองว่าเรายังทำตามฝันที่วางไว้ไม่สำเร็จ คิดว่าถ้าคนอื่นเข้ามาสานต่อสิ่งที่เราเริ่มต้นด้วยตัวเองมาในตอนนี้ แนวทางอาจจะไม่เป็นเหมือนสิ่งที่เราตั้งใจไว้
“ถึงแม้ว่าเราจะเป็นจุดเล็กๆ ในวงการคลินิกเวชกรรมความงามที่เริ่มเปลี่ยนในวันนี้ (แนวทางการให้บริการที่ไม่ได้มองเรื่องการ Hard Sell ยัดเยียดขายของ) แต่เราคิดว่าวันหนึ่งมันต้องสร้างแรงกระเพื่อมได้อย่างแน่นอน สิ่งที่เราทำมันไม่ใช่สิ่งที่พิเศษกว่าใครเลย จริงๆ มันควรจะต้องเป็นเรื่องธรรมดา เป็นมาตรฐานปกติของทุกๆ คลินิกเวชกรรมความงาม
“เรา Set Normal ให้เสร็จสรรพผ่านวิธีการที่ THE RITZ CLINIC ได้ให้บริการและดูแลรักษาคนไข้ทุกคน ถ้าวันหนึ่งมันเป็นไปได้ ก็คิดว่าเราน่าจะบรรลุถึงเป้าหมายและความฝันของเราแล้ว” นพ.เรืองฤทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย
แม้ความฝันและปลายทางของความตั้งใจที่หมอริทวาดเอาไว้อาจจะยังดูห่างไกลออกไปอีกหลายช่วงตัวอยู่พอสมควร
แต่ตราบใดที่เขาและ THE RITZ CLINIC ยังคงมุ่งมั่น สัตย์ซื่อ และยึดถือในด้านความจริงใจในการรักษาและให้บริการคนไข้ ที่สุดแล้วแม้ปลายทางของการเดินทางจะยังไม่มีใครรู้ว่าจะมาถึงเมื่อไร แต่ ‘ระหว่างทาง’ ย่อมมีผู้คนที่เชื่อมั่นและไว้วางใจที่จะร่วมออกเดินทางไปกับพวกเขาอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเป็นแน่