×

The Playbook ตำรับชีวิตนอกตำราลูกหนังของ โชเซ มูรินโญ

01.10.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • สารคดี The Playbook เป็นสารคดีกีฬาเรื่องล่าสุดที่นำสุดยอดโค้ชกีฬาของโลก 5 คนมาถอดบทเรียนชีวิต โดยหนึ่งในนั้นคือ โชเซ มูรินโญ สุดยอดกุนซือลูกหนังระดับโลก
  • ภาพในสนามเขาเคยเป็น ‘มูผู้โอหัง’ เป็นจอมอหังการที่ไม่ยอมใคร ขวานผ่าซาก ผ่าเหล่าผ่ากอ ปากไว พร้อมจะเป็นศัตรูกับทุกคน
  • แต่นอกสนามแล้วสารคดีเรื่องนี้เปลือยตัวตนของมูรินโญให้เราได้เห็นและเริ่มเข้าใจว่าทำไมในช่วงเวลาหนึ่งเขาจึงเป็นสุดยอดกุนซือที่ไม่ว่าสโมสรใดในโลกก็อยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม 

ปีนี้เป็นปีทองสำหรับแฟนกีฬาที่ชื่นชอบการดูภาพยนตร์สารคดีจริงๆ ครับ เพราะตลอดทั้งปีเรามีของดีให้ได้ดูกันอย่างต่อเนื่อง

 

จาก The Last Dance ที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อช่วงต้นปี (และช่วยประโลมหัวใจในช่วงล็อกดาวน์ได้เป็นอย่างดี) ยังมีสารคดีอีกมากมายหลายหลากแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น Anelka: Misunderstood ที่ว่าด้วยเรื่องชีวิตของนักฟุตบอลที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนมากที่สุดอย่าง นิโกลาส์ อเนลกา, Formula 1: Drive to Survive ที่เปิดเผยโลกการแข่งรถฟอร์มูล่าวันที่มีอะไรมากกว่าการขับรถให้เข้าเส้นชัยเยอะ หรือ Athlete A ที่เปิดโปงเรื่องอื้อฉาวของ แลร์รี นาสซาร์ หมอนรกที่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศกับนักกีฬายิมนาสติกหญิงทีมชาติสหรัฐฯ

 

สารคดีเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นมุมมองของเกมกีฬาได้กว้างขึ้นว่ามันไม่ได้มีแค่เรื่องราวของการแข่งขันในสนาม ไม่ใช่จบแค่แพ้หรือชนะ แต่ยังมีชีวิต ความคิด บทเรียนที่ซ่อนอยู่อีกมากมาย

 

โดยเฉพาะเรื่องการถอดบทเรียนที่เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ก็มีสารคดีชุดใหม่ที่ถ่ายทอดบทเรียนของเหล่าสุดยอดโค้ชหรือผู้ฝึกสอนระดับโลกจำนวน 5 คน

 

The Playbook กฎชีวิตพิชิตทุกสนาม – คือชื่อสารคดีทาง Netflix นะครับ

 

ในบรรดาโค้ชทั้ง 5 คนที่ผมเชื่อว่าน่าจะได้รับความสนใจมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้น โชเซ มูรินโญ โค้ชฟุตบอลอันดับต้นๆ ของโลก เจ้าของสมญา The Special One ที่เราน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีไม่ว่าจะชอบดูฟุตบอลหรือไม่ก็ตาม

 

ผมเองเคยไปนั่งถอดบทเรียนของโค้ชฟุตบอลอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ หรือ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในรายการ The Secret Sauce กับ เคน นครินทร์ มาแล้ว (และรอว่าเคนอยากจะถอดบทเรียนของ มิเกล อาร์เตตา บ้างหรือเปล่า ฮ่าๆ) ซึ่งทั้งสองเป็นโค้ชที่เก่งกาจและเต็มไปด้วยแนวคิดที่น่าสนใจมากมาย

 

แต่เรียนจากใจจริงว่าหลังได้ชม The Playbook ตอนของมูรินโญจบแล้ว ผมรู้สึกว่าเรื่องราวและบทเรียนของเขามันแอบดูสนุกกว่า!

 

เวลา 30 นาทีในสารคดีตอนนี้แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่เราได้รับรู้เรื่องราวและมุมคิดที่น่าสนใจของมูรินโญ ซึ่งทำให้เราได้เห็นอีกด้านของตัวตนของเขาที่หลายคนอาจจะไม่เคยได้รู้เรื่องหรือเคยสัมผัสมาก่อน

 

ภาพในสนามเขาเคยเป็น ‘มูผู้โอหัง’ เป็นจอมอหังการที่ไม่ยอมใคร ขวานผ่าซาก ผ่าเหล่าผ่ากอ ปากไว พร้อมจะเป็นศัตรูกับทุกคน

 

แต่นอกสนามแล้วสารคดีเรื่องนี้เปลือยตัวตนของมูรินโญให้เราได้เห็นและเริ่มเข้าใจว่าทำไมในช่วงเวลาหนึ่งเขาจึงเป็นสุดยอดกุนซือที่ไม่ว่าสโมสรใดในโลกก็อยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม 

 

และสำคัญที่สุดคือทำไมเขาไปทำทีมไหนก็ประสบความสำเร็จไปเสียหมด!

 

ผมเองก็อยากจะเล่าสรุปให้ฟังเหมือนกัน แต่คิดว่าอยากให้มีโอกาสได้ดูกันเต็มๆ มากกว่า เลยอยากจะขอสรุปบทเรียนในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในสารคดี แต่เป็นสิ่งที่กุนซือชาวโปรตุเกสคนนี้บอกให้เราฟังในระหว่างตอนให้อ่านกัน

 

แต่แน่นอนครับว่ามันก็อาจจะเป็นการ * สปอยล์ * ดังนั้น…

 

* คำเตือนหลังจากนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาหรือใจความสำคัญบางส่วน หากเป็นไปได้แนะนำให้ชมก่อนอ่านนะครับ 🙂

 

 

 

1. ความรักชนะทุกสิ่ง

งานใหญ่ในชีวิตครั้งแรกของกุนซือที่เกิดในเมืองเซตูบัล เมืองเล็กๆ ใกล้ลิสบอนที่มีวิวทะเลแสนงดงาม ลูกชายของ เฟลิกซ์ มูรินโญ อดีตนักฟุตบอลและโค้ช คือการคุมทีมเบนฟิกา! แต่ทีมที่เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมแรกกลับเป็นเอฟซี ปอร์โต สโมสรคู่แข่งตลอดกาล

 

ในช่วงที่มูรินโญเข้ารับตำแหน่งนั้น ปอร์โตอยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างมาก ทีมขาดความเชื่อมั่นและมองไม่เห็นทางออก

 

แต่มูรินโญกลับมองเห็นทางออกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ปอร์โตกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งคือ ‘ความรัก’

 

เขาเริ่มจากการทำให้นักฟุตบอลลงเล่นให้สโมสรด้วยความรัก โดยคัดเอาเฉพาะคนที่ ‘มีใจ’ จะลงสนาม พร้อมจะสู้เพื่อเขาและทีมโดยไม่จำเป็นจะต้องเด่นต้องดังมาก่อน

 

เมื่อได้ทีมที่เล่นด้วยหัวใจแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือแฟนบอลที่เคยหมดใจกับทีมก็ค่อยๆ กลับมาหลงรักทีมใหม่อีกครั้ง 

 

2. ไม่ลืมรากเหง้า

เป็นธรรมดาสำหรับคนหนุ่มไฟแรงที่ชอบความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

 

แต่สิ่งที่มูรินโญทำในตอนคุมปอร์โตกลับสวนทางกัน เพราะเขาให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘รากเหง้า’ ของสโมสรและแฟนบอลที่เป็นชาวเมือง

 

ปอร์โตเป็นสโมสรที่มีแฟนบอลเป็นกลุ่มชนชั้นแรงงาน (Working Class) แบบเดียวกับลิเวอร์พูลหรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งสำหรับแฟนฟุตบอลเหล่านี้สโมสรคือตัวแทนความดีงามของพวกเขา ดังนั้นทุกสิ่งที่มูรินโญเน้นย้ำคือการทำให้แน่ใจได้ว่าสโมสรจะลงเล่นด้วยความรู้สึกเดียวกับแฟนๆ

 

ถ้าสโมสรเป็นของ Working Class ก็ต้องเล่นแบบ Working Class

 

เสื้อจะมาขาวสะอาดไม่ได้ แต่ต้องเล่นจนบิดเสื้อให้ไหลเป็นน้ำตก นั่นจึงจะสมกับรากเหง้าความเป็นมาของสโมสร

 

3. ไม่ถนัดอย่าฝืน

ก่อนจะมาเป็นโค้ช มูรินโญเองก็อยากเป็นนักฟุตบอลมาก่อนครับ

 

เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาเพื่อเป็นนักฟุตบอล มูรินโญก็เป็นหนึ่งในคนจำนวนมากที่ไปไม่ถึงฝัน

 

แต่แทนที่จะผิดหวัง เขากลับมองเห็นสิ่งดีๆ จากการที่เขาไม่ได้เป็นนักฟุตบอล เพราะมันทำให้เขารู้ตัวมาตั้งแต่แรกว่าเขาเก่งอะไร ถนัดอะไร และเขาก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ดีมากๆ ด้วย

 

การไม่ได้เป็นนักฟุตบอลทำให้มูรินโญได้มุ่งมั่นกับเส้นทางการเป็นโค้ช และด้วยโชคชะตา ทำให้เขาได้มีโอกาสติดสอยห้อยตามโค้ชระดับโลกอย่าง บ็อบบี ร็อบสัน หรือ หลุยส์ ฟาน กัล ที่กลายเป็นครูของชีวิต

 

ก่อนจะได้รับโอกาสดีๆ ในชีวิต

 

4. อยากเป็นใหญ่ใจต้องนิ่ง (และใจเด็ด!)

นอกเหนือจากความรู้ที่สั่งสมมามากมายแล้ว หนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้มูรินโญกลายเป็นโค้ชระดับสุดยอดคือการตัดสินใจที่เด็ดขาด

 

เขารู้ว่าจังหวะไหนควรทำอะไร จังหวะไหนไม่ควรทำอะไร

 

เหมือนในเกมสำคัญที่พบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรายการแชมเปียนส์ลีก ซึ่งเป็นเกม ‘แจ้งเกิด’ เขาอย่างเต็มตัวต่อโลกฟุตบอลชนิดที่จบเกมวันนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้จัก โชเซ มูรินโญ (ที่เหมือนของแปลกในวงการ เพราะบ้าดีเดือด ระเบิดอารมณ์พลุ่งพล่าน และที่สำคัญโคตรโม้!)

 

เกมนั้นปอร์โตตกที่นั่งลำบาก เพราะโดนยูไนเต็ดยิงนำไปก่อน และทำให้ทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้เปรียบจากกฎ Away Goal แต่แทนที่จะตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่น มูรินโญอดทนรอประเมินสถานการณ์ในเกมอย่างใจเย็น

 

จนเมื่อชัดเจนแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจ เขาสั่งให้ทีมเดินหน้าทันที และสุดท้ายเขาได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ

 

5. เพราะเราทุกคนคือมนุษย์

ถึงจะดูเป็นคนก้าวร้าว หัวแข็ง แต่จริงๆ มันเป็นแค่ภาพเปลือกนอก หรือเป็นสิ่งที่เขาอยาก​ ‘แสดง’ ให้ทุกคนเห็น

 

ตัวตนอีกด้านที่เหมือนจะเป็นตัวตนจริงๆ ของเขา มูรินโญเป็นคนที่จิตใจดี อ่อนโยน มีน้ำใจ เหมือนที่เราได้เห็นภาพเขาไปแจกอาหารบ้าง ไปช่วยงานการกุศลบ้างช่วงล็อกดาวน์ หรือล่าสุดไม่นานมานี้ที่ยอมให้ผู้สื่อข่าวชาวมาซิโดเนียถ่ายภาพคู่ด้วยตามคำขอร้องของคุณพ่อนักข่าวที่กำลังป่วยหนัก ทั้งๆ ที่จะไม่อนุญาตก็ได้

 

สำหรับมูรินโญ จะเก่งแค่ไหน จะห่วยแค่ไหน เขามองเห็นทุกคนเป็น ‘มนุษย์’

 

ทำงานกับเครื่องจักรเราป้อนคำสั่งได้ แต่ทำงานกับคนเราต้องเอาหัวใจไปเชื่อมกัน มันถึงจะสำเร็จ

 

6. ไม่มีใครสอนเราได้ดีเท่าเราเอง

ถึงจะผ่านการสอนจากโค้ชระดับตำนานมากมาย แต่มูรินโญยืนยันว่าเขาไม่ต้องการที่จะพูดถึงคนอื่นอีก

 

จะพูดถึงทำไมในเมื่อเขาเองก็เรียนรู้ผ่านชีวิตของตัวเอง

 

บาดแผล น้ำตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ช่วงเวลาที่ขึ้นสูง ช่วงเวลาที่ตกต่ำ สิ่งเหล่าสำหรับเขาคือ ‘ครู’ ที่ดีที่สุด ไม่ใช่การถอดบทเรียนจากคนอื่นแต่อย่างใด

 

7. ชีวิตเป็นของเรา

ในสารคดีมูรินโญพูดถึงเรื่อง ‘รถไฟไม่จอดเป็นครั้งที่ 2’ โดยสื่อถึงการตัดสินใจในการรับข้อเสนอจากเรอัล มาดริด ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะพาอินเตอร์ มิลานพิชิต 3 แชมป์ โดยได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นรายการปิดท้าย

 

เขาตัดสินใจเช่นนั้นเพราะมันเป็นความฝันของเขาในการพิชิตแชมป์ใน 3 ลีกใหญ่ของโลก (อังกฤษ, อิตาลี และสเปน) และมันเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการที่จะเอาชนะบาร์เซโลนาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทีมที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลก ณ เวลานั้น

 

จริงๆ แล้วการตัดสินใจครั้งนี้ไม่มีคำว่าผิดหรือถูกนะครับ

 

เพราะต่อให้วันนั้นมูรินโญเกิดเปลี่ยนใจที่จะอยู่กับอินเตอร์ต่อไปด้วยความผูกพันที่มีต่อสโมสรและลูกทีม ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่แย่หรือผิดพลาดอะไร

 

ชีวิตมันเป็นของเรา

 

เราเลือกได้เสมอครับ 🙂

 

และนี่คือสิ่งที่ผมถอดบทเรียนมาให้เพิ่มเติมจาก The Playbook ในตอนของ โชเซ มูรินโญ ที่ขอเน้นอีกทีว่าอยากให้มีโอกาสได้ลองนั่งชมกัน

 

30 นาทีสั้นๆ ที่จะทำให้หัวใจของเราได้เติมประกายไฟอีกเยอะ!

 

แล้วเอาไว้ถ้ามีโอกาสได้ชมตอนอื่นๆ แล้วอาจจะมาถอดบทความให้เพิ่มเติมครับ!

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising