การเป็นเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่ง 75% ในตลาดพิซซ่าไทยมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ทำให้ ‘The Pizza Company’ ต้องพัฒนาตลอดเวลาเพื่อรักษาเก้าอี้ของตัวเองไว้ ซึ่งหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมีแม่ทัพนำธุรกิจที่มองขาด
ล่าสุดนั้นแบรนด์ที่ทำรายได้ให้ไมเนอร์ ฟู้ดมากที่สุดก็ถึงยุคผลัดใบ โดยได้มีการแต่งตั้ง ‘ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์’ ให้เข้ามานั่งตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินการของบริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ปัทม์ไม่ใช่ผู้บริหารหน้าใหม่ของไมเนอร์ เพราะเขาคนนี้เป็นผู้ปลุกปั้น 1112 Delivery ทำให้มีความรู้เรื่องธุรกิจเป็นอย่างดี จึงไม่แปลกที่ถูกตั้งให้มาดูแลแบรนด์ที่มีร้านกว่า 420 สาขา ใน 75 จังหวัด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- The Pizza Company สั่งลุย! ขยาย ‘ชิค-อะ-บูม’ แบรนด์ไก่ทอดน้องใหม่ ชิงตลาด 2.5 หมื่นล้าน ที่ลูกค้าอยากได้ ‘รสชาติใหม่ๆ’
- เบื้องหลังยอดขายที่มากกว่าเป้า 2 เท่าของ ‘พิซซ่าดิปเปอร์เมตร’ จาก The Pizza Company
- The Pizza Company ปลุกกระแส ‘นิวยอร์กพิซซ่า XXXL 18 นิ้ว’ ต่อเนื่อง ดึง ‘เอิร์ท-มิกซ์’ นั่งแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ พร้อมเปิดขายเสื้อเป็นครั้งแรก!
“การได้เข้ามาดูแลธุรกิจ The Pizza Company พร้อมไปกับการดูแลธุรกิจ 1112 Delivery ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย เนื่องจากทั้ง 2 ธุรกิจเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นธุรกิจที่เติบโตเคียงคู่กันมาอย่างยาวนานตั้งแต่เริ่มต้น” ปัทม์กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH “และตั้งใจว่าจะขับเคลื่อนทั้ง 2 ธุรกิจให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภคตลอดไป”
ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2565 The Pizza Company มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดขายกลับมาเติบโตอยู่ที่ 30% โดยเฉพาะช่องทางเดลิเวอรีที่มีการเติบโตสูงสุดอยู่ที่ 30% แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้บริโภคที่กลับเข้ามากินที่ร้านมีทิศทางการเติบโตที่ฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่มีการเปิดประเทศ ทำให้ยอดขายไดน์อินกลับมาเติบโต 25%
ในปี 2565 คาดว่า The Pizza Company จะเติบโตตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยปัจจัยความสำเร็จมาจากกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นในด้าน Customer Journey ให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก และดีไซน์แผนการตลาดออกมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ส่งผลให้ภาพรวมแบรนด์ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายจากช่องทางเดลิเวอรีเติบโตอยู่ที่ 30% และยอดขายไดน์อินเติบโต 25%
สำหรับช่วงเทศกาลเฟสทีฟของไฮซีซันที่กำลังจะมาถึงนี้ แบรนด์จึงได้ทำการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่าหนึ่งในความต้องการของผู้ที่ชอบกินพิซซ่า คือความหนาของแป้งพิซซ่าที่อยู่ตรงกลางระหว่างพิซซ่าแป้งบางกรอบกับพิซซ่าแป้งหนานุ่ม
และจากโจทย์นี้จึงเป็นที่มาของการพัฒนาและคิดค้นสูตรจนกลายเป็นแป้งพิซซ่าโฮมเมดแบบบางนุ่ม ออกมาเป็นเมนูใหม่ ‘พิซซ่าแป้งนิวยอร์กบางนุ่ม’ ที่ได้เปิดตัวพิซซ่า 3 หน้าใหม่ และไซส์ใหม่ขนาด 12 นิ้ว ในราคาเริ่มต้นเพียง 399 บาท
ทิศทางในปี 2566 ปัทม์เผยว่า จะตอกย้ำการเติบโตด้วยการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30-50 สาขาต่อปี แบ่งเป็นสัดส่วนพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด 50:50 พร้อมกับปรุงพัฒนาแอปพลิเคชันให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่นิยมสั่งอาหารผ่านช่องทางออนไลน์
“ภาพรวมการเติบโตของปี 2566 (รวมเปิดสาขาใหม่) คาดว่าเติบโตมากกว่า 30%” ปัทม์กล่าว พร้อมเสริมว่า “ความท้าทายคือการขยายธุรกิจบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรีในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เป็นพื้นที่เมืองรอง เพื่อให้ผู้บริโภคในพื้นที่ได้เข้าถึงสินค้าและบริการของแบรนด์ได้มากขึ้น และพัฒนาบริการรวมถึงเพิ่มเมนูใหม่ๆ ของร้าน The Pizza Company ที่อยู่ในพื้นที่แหล่งชุมชน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่มานั่งกินที่ร้านและซื้อกลับบ้าน”
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การนำของปัทม์ หวังว่าจะยังคงเป็นผู้นำตลาดและเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ พร้อมกับการไม่หยุดยั้งในการพัฒนาเมนูใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกเพศ และทุกวัย
“และอีกหนึ่งเป้าหมายคือการพยายามสร้างแบรนด์ให้เข้าถึงทุกกลุ่มลูกค้าและให้เกิดการจดจำแบรนด์นี้ให้มากขึ้น โดยไม่หยุดที่จะเริ่มริลองทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งจะทยอยเห็นได้ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นเร่งยอดขายผ่านช่องทางเดลิเวอรี ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ได้กลายเป็นช่องทางหลักของเราไปแล้ว