×

THE MATCH 101: ประวัติศาสตร์และเกมสำคัญของคู่ปรับตลอดกาล ‘ลิเวอร์พูล-แมนฯ ยูไนเต็ด’

07.07.2022
  • LOADING...
THE MATCH 101

ใกล้เข้ามาทุกลมหายใจ สำหรับเกมประวัติศาสตร์ ‘THE MATCH: Bangkok Century Cup 2022’ ในการพบกันของ 2 คู่ปรับตลอดกาลแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษ อย่างทีม ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล และ ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 12 กรกฎาคมนี้

 

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น รู้หรือไม่ว่าทั้งสองทีมที่ว่าเป็น ‘Rivalry’ หรือเป็นศัตรูกัน เป็นอริ หรือไม่ถูกกัน แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่?

 

เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นอาจจะไม่ถึงกับเป็นเรื่องของสงคราม การเมือง หรือศาสนา เหมือนอีกหลาย Rivalry ของโลกลูกหนัง แต่รากเหง้าของความขัดแย้งนั้นปลูกฝังมาตั้งแต่ยุคสมัยศตวรรษที่ 18 เลยทีเดียว

 

ในสมัยนั้นแมนเชสเตอร์เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากกว่า แต่ในช่วงปลายของศตวรรษที่ 18 เมื่ออุตสาหกรรมการเดินเรือเติบโต ลิเวอร์พูลที่มีพื้นที่ติดทะเล กลายเป็นทั้งเมืองท่าและอู่ต่อเรือที่สำคัญของอังกฤษ และมีสถานะแทบจะเป็น ‘เมืองลำดับที่ 2’ ของอังกฤษเลยทีเดียว

 

ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อเกิดการขุดคลองที่เรียกว่า ‘Manchester Ship Canal’ ที่เหล่าพ่อค้าวาณิชย์ในเมืองแมนเชสเตอร์ช่วยกันลงขัน ท่ามกลางการขัดขวางของนักการเมืองในเมืองลิเวอร์พูล แต่สุดท้ายคลองนี้ได้เกิดขึ้น และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้แมนเชสเตอร์กลับมามีสถานะที่เหนือกว่าอีกครั้ง

 

นั่นคือเรื่องราวคร่าวๆ ของรากเหง้าความขัดแย้งระหว่าง 2 เมืองที่มีระยะทางห่างกันเพียงแค่ 35 ไมล์ หรือ 56 กิโลเมตร ซึ่งใกล้กว่ากรุงเทพฯ กับอยุธยาเสียอีก

 

ก่อนที่ความขัดแย้งนั้นจะถูกส่งผ่านอย่างอ้อมๆ มาในเกมฟุตบอล ด้วยการกำเนิดของ 2 สโมสร ที่ต่อมากลายเป็นมหาอำนาจของวงการลูกหนังอังกฤษทั้งคู่

 

โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นถือกำเนิดก่อนในปี 1878 ในชื่อดั้งเดิมว่าทีมนิวตัน ฮีธ (ย่านหนึ่งในเมืองแมนเชสเตอร์) และเริ่มลงแข่งขันอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม ปี 1886 ขณะที่ลิเวอร์พูลนั้นก่อตั้งตามหลังมาในปี 1892 หลัง จอห์น โฮลดิง ประธานสโมสรคนแรกตัดสินใจแยกออกมาก่อตั้งสโมสรใหม่หลังเกิดความขัดแย้งกับเอฟเวอร์ตัน (ซึ่งก่อตั้งในปี 1878 เช่นเดียวกับนิวตัน ฮีธ)

 

ก่อนที่ทั้งสองทีมจะมีโอกาสพบกันเป็นครั้งแรกในวันที่ 28 เมษายน 1894

 

เกมที่ถือเป็นปฐมบทของสงครามสีแดงที่ยิ่งใหญ่และยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน

 

1894: ปฐมบทของคู่ปรับตลอดกาล

ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด การพบกันครั้งแรกระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (หรือนิวตัน ฮีธ ในสมัยนั้น) เป็นการเจอกันในเกม Test Match ซึ่งจัดขึ้นเป็นทัวร์นาเมนต์เล็กๆ ในช่วงหลังสิ้นสุดฤดูกาล 1893/94 โดยฟุตบอลลีก ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการคัดเลือกว่าทีมใดที่สมควรจะได้เล่นในดิวิชันใดสำหรับฤดูกาลต่อไป 1894/95 หรือถ้าเป็นสมัยนี้ก็จะเรียกว่าเกม ‘เพลย์ออฟ’ นั่นเอง 

 

เวลานั้นนิวตัน ฮีธ เป็นทีมบ๊วยของดิวิชัน 1 จึงต้องเจอกับลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นแชมป์ของดิวิชัน 2 โดยพบกันที่สนามเป็นกลางในเมืองแบล็กเบิร์น คือสนามอีวูดพาร์ก

 

ผลปรากฏว่า ลิเวอร์พูลเอาชนะไป 2-0 ได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชัน 1 ส่วนนิวตัน ฮีธ ตกลงไปในดิวิชัน 2 แทน

 

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เอฟเอคัพ และดับฝัน ‘เทรเบิลแชมป์’ ของลิเวอร์พูลพร้อมกันในนัดชิงปี 1977 (ภาพ: manutd.com)

 

1977: การพบกันในนัดชิงเอฟเอคัพครั้งแรก

วันเวลาผ่านมายาวนาน ทั้งสองสโมสรต่างก็มียุคเรืองรองและร่วงโรย โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่ได้แชมป์ยูโรเปียนคัพในปี 1968 สิบปีหลังเหตุโศกนาฏกรรมที่มิวนิกที่ทำให้นักฟุตบอลและสตาฟฟ์ในทีมเสียชีวิตมากมาย ก่อนที่จะร่วงโรยสวนทางกับลิเวอร์พูลที่ตกต่ำพักใหญ่ก่อน บิลล์ แชงคลีย์ จะมากอบกู้สโมสรให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง

 

จนกระทั่งในปี 1977 ทั้งสองสโมสรได้มีโอกาสพบกันในเกมนัดชิงเอฟเอคัพเป็นครั้งแรก ซึ่งในสมัยนั้นรายการเอฟเอคัพคือหนึ่งในรายการศักดิ์สิทธิ์ที่มีค่าไม่ได้น้อยไปกว่าการได้แชมป์ลีกเลย แต่การพบกันครั้งนั้นมีความหมายล้ำลึกยิ่งกว่า

 

ที่บอกเช่นนั้นก็เพราะลิเวอร์พูลเพิ่งได้แชมป์ลีก และมีโอกาสจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ 3 รายการได้ในฤดูกาลเดียว เพราะได้ผ่านเข้าชิงชนะเลิศยูโรเปียนคัพด้วยในอีก 4 วันหลังจากนั้น แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นได้พวกเขาต้องเอาชนะแมนฯ​ ยูไนเต็ด ให้ได้ก่อน

 

ปรากฏว่าปีศาจแดงไม่ยอมให้คู่ปรับได้หน้าง่ายๆ ประตูของ สจวร์ต เพียร์สัน และ จิมมี กรีนฮอฟฟ์ ดับฝันหงส์แดงที่อดเป็นทีมแรกที่ได้เทรเบิลแชมป์ เป็นหนึ่งในรอยแผลใหญ่ที่นำไปสู่การเป็นคู่ปรับอย่างเต็มตัวในยุคต่อมา

 

1983: การพบกันในนัดชิงอีกครั้ง

6 ปีต่อมา ลิเวอร์พูลและแมนฯ ยูไนเต็ด ได้กลับมาพบกันที่เวมบลีย์อีกครั้ง ในยุคที่ฝ่ายแรกครองความยิ่งใหญ่ของวงการลูกหนังมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว

 

ไม่เพียงแค่ด้วยรอยแค้นจากการพบกันครั้งที่แล้วทำให้ลิเวอร์พูลต้องการล้างตาให้ได้ พวกเขายังต้องการมอบแชมป์ส่งท้ายให้แก่ บ็อบ เพสลีย์ ยอดผู้จัดการทีมทายาทบูทรูม ที่จะอำลาทีมหลังจบฤดูกาลดังกล่าว

 

ผลปรากฏว่า อลัน เคนเนดี และ รอนนี วีแลน ทำคนละประตูให้เอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งได้ประตูโทนจาก นอร์แมน ไวท์ไซด์ ในสกอร์ 2-1 ได้แชมป์ลีกคัพเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน และเป็นแชมป์ส่งท้ายให้กับ ‘ลุงบ็อบ’ ที่ได้เดินขึ้นบันได 39 ขั้นของเวมบลีย์ไปรับถ้วยรางวัล

 

อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาส่งสัญญาณเตือนลิเวอร์พูลถึงแอนฟิลด์ในปี 1988

 

1988: คำประกาศจากเฟอร์กี

ในปี 1988 ลิเวอร์พูลยังครองความเป็นเจ้าวงการลูกหนังอังกฤษอยู่ และในการพบกันในปลายฤดูกาล 1987/88 พวกเขาก็ได้แชมป์แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อนำห่างถึง 11 แต้ม โดยทีมที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ก็คือแมนฯ ยูไนเต็ด นั่นเอง

 

ยูไนเต็ดในเวลานั้นอยู่ใต้การคุมทีมของผู้จัดการทีมคนใหม่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ได้คุมทีมแบบเต็มตัวเป็นฤดูกาลแรก หลังเข้ามารับตำแหน่งกลางทางในปี 1986 ซึ่งการพบกันที่แอนฟิลด์ครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยกำลังจะเกิดขึ้น

 

เกมดังกล่าวลิเวอร์พูลหนีห่าง 3-1 ในช่วงต้นครึ่งหลังจากประตูของ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์, แกรี จิลเลสพี และ สตีฟ แมคมาน ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูจาก ไบรอัน ร็อบสัน และดูไม่น่าจะมีอะไรแล้ว

 

แต่ปรากฏว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ของเฟอร์กูสัน ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ร็อบสันยิงไล่ตามมาเป็น 2-3  ก่อนที่ กอร์ดอน สตรัคคัน จะยิงประตูตีเสมอ 3-3 ได้ก่อนหมดเวลา 12 นาที

 

มันอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแชมป์ในฤดูกาลนั้นได้ แต่อย่างน้อยนี่คือการแสดงให้เห็นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ของกุนซือที่ชื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะไม่ยอมให้คู่แข่งต่างเมืองเหนือกว่าอีกต่อไป และที่สุดแล้วเฟอร์กีก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้จริงๆ

 

โม ซาลาห์ ยิงประตูย้ำชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ให้ลิเวอร์พูลคว้าชัยในศึกแดงเดือด พร้อมเสียงเพลง We’re Gonna Win The League กระหึ่มแอนฟิลด์

 

2020: พวกเราจะคว้าแชมป์ลีก

ยุคสมัยของฟุตบอลอังกฤษเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เมื่อเฟอร์กีทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกได้ถึง 13 สมัย แชมป์ยูโรเปียนคัพอีก 2 สมัย และรายการอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะแชมป์ลีกที่แซงหน้าลิเวอร์พูลได้สำเร็จ

 

ทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์ตกต่ำยาวนานแบบที่ไม่มีใครคาดคิด จนกระทั่ง เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเหมือนที่ครั้งหนึ่งเฟอร์กูสันเคยทำ และในฤดูกาล 2019/20 ลิเวอร์พูลก็ก้าวทะยานอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อหวังคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีให้ได้

 

แต่เพราะผิดหวังมาหลายครั้ง ทำให้เดอะ ค็อป (แฟนบอลลิเวอร์พูล) ไม่ต้องการพูดให้เป็นลางว่า ‘จะคว้าแชมป์ลีก’ เพราะพูดทีไรเจ็บทุกที นั่นทำให้พวกเขาเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ จนกระทั่งได้พบกับแมนฯ ยูไนเต็ด ที่แอนฟิลด์ ในเดือนมกราคม ปี 2020

 

เกมดังกล่าวลิเวอร์พูลได้ประตูนำก่อนจาก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค แต่ก็ต้องลุ้นระทึก เพราะกลัวว่าแมนฯ ยูไนเต็ด จะทำแสบ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาลได้ แต่สุดท้ายในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อลิสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตู รับบอลได้ก่อนเตะเปิดยาวจังหวะเดียวให้ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่สปีดออกตัวไปรอแล้วไปรับบอลก่อนลากไปยิงผ่าน ดาบิด เด เคอา เข้าไป

 

ประตูนี้ทำให้ลิเวอร์พูลชนะในเกม 2-0 และทำให้เดอะ ค็อป ร้องเพลงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายว่า “We’re gonna win the league” หรือ “พวกเราจะคว้าแชมป์ลีก” ซึ่งพวกเขาก็ทำได้จริงๆ เป็นการยุติการรอคอยที่ยาวนานถึง 30 ปีได้สำเร็จ (แม้จะน่าเศร้าเพราะมีโควิด ทำให้ฉลองได้ไม่เต็มที่ก็ตาม)

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising