×

‘ลิเวอร์พูล 2.0’ กับบททดสอบความพร้อมที่เอติฮัด

24.11.2023
  • LOADING...
แมนซิตี้ พบ ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ VS ลิเวอร์พูล

HIGHLIGHTS

6 MIN READ
  • การมาของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิก โซโบสไล, วาตารุ เอนโดะ และ ไรอัน กราเวนเบิร์ช สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนฟุตบอลลิเวอร์พูลได้ไม่น้อย เพราะทั้งสี่ต่างมีคุณลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป
  • แต่สิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาเป็นทีมที่น่ากลัวอีกครั้ง จริงๆ แล้วไม่ใช่ผลงานของนักเตะในแดนกลาง หากแต่เป็นพลังทำลายล้างของ 5 ผู้เล่นแนวรุกที่มาปลดล็อกสกินทองในเวลาไล่เลี่ยกันในฤดูกาลนี้
  • ลิเวอร์พูลยังต้องพัฒนาในเรื่องของความสม่ำเสมอ ต้องพิสูจน์เรื่องของการยืนระยะ และพัฒนาการเล่นเป็นทีม เพราะหากคำนวณกันทางความรู้สึก อาร์เซนอลของ มิเกล อาร์เตตา ยังดูเหมือนจะนำหน้าพวกเขา และเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกับแมนฯ ซิตี้มากกว่า (แถมยังเอาชนะได้ด้วย!)

ในช่วงก่อนที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่จะเริ่มต้นขึ้น ลิเวอร์พูลไม่ได้ถูกจับตามองในฐานะทีมที่อยู่ในข่ายของการลุ้นแชมป์แต่อย่างใด

 

เหตุผลนั้นมาจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทีม โดยเฉพาะจุดที่ถูกละเลยมายาวนานอย่างแดนกลาง จากนักเตะชุดเดิมที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ในฤดูกาลที่แล้วอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, เจมส์ มิลเนอร์ และ นาบี เกอิตา มาสู่แผงกองกลาง ใหม่ยกเซ็ตอย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิก โซโบสไล, วาตารุ เอนโดะ และ ไรอัน กราเวนเบิร์ช

 

การเปลี่ยนแปลงในระดับนี้ปกติแล้วจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการปรับจูนให้ทุกอย่างเข้าที่ แต่ปรากฏว่าพลังของความสดใหม่ที่เติมเข้ามาได้กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ลิเวอร์พูลของ เจอร์เกน คล็อปป์ กลับมาเป็นทีมที่ดีอีกครั้ง

 

จนผ่านมาเกือบ 1 ใน 3 ของฤดูกาล พวกเขาเกาะกลุ่มนำอยู่ในตำแหน่งรองจ่าฝูง ตามหลังแชมป์เก่าและคู่ปรับคนดีคนเดิมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้เพียงแค่คะแนนเดียว โดยที่ทั้งสองทีมจะลงสนามเพื่อประลองฝีเท้ากันเป็นครั้งแรกของฤดูกาลนี้ในเกมที่เอติฮัด สเตเดียม

 

ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันเรียกผลงานชิ้นใหม่ที่น่าภาคภูมิใจของเขาว่า “ลิเวอร์พูล 2.0”

 

และตอนนี้ทุกคนก็อยากรู้ว่าเครื่องจักรสีแดงยุคใหม่จะดีพอวัดกับแมนฯ ซิตี้ได้เหมือนที่เคยห้ำหั่นกันมาในอดีตไหม

 

แข้ง ลิเวอร์พูล ล้อมรอบ เยอร์เกน คล็อปป์

 

ยกเครื่อง!

 

มีหลายเหตุผลที่ทำให้ผลงานของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2022/23 ตกต่ำอย่างน่าใจหาย

 

แต่หนึ่งในสาเหตุหลักที่เป็นที่พูดถึงกันมากคืออาการ ‘โอเวอร์ฮีต’​ ของนักเตะที่ต้องกรำศึกหนักในฤดูกาล 2021/22 ที่พวกเขาหวังจะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการไล่ล่า 4 แชมป์ใหญ่ในฤดูกาลเดียวกัน (Quadruple) ซึ่งสุดท้ายอกหักได้เพียงแค่ 2 แชมป์รองอย่างลีกคัพ และเอฟเอคัพ แล้วไปพลาด 2 แชมป์ใหญ่อย่างพรีเมียร์ลีก (ที่แมนฯ ซิตี้พลิกสถานการณ์กลับมาชนะแอสตัน วิลลาได้) และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่โดนทีเด็ดเจ้าเก่า เรอัล มาดริด

 

การลงสนามอย่างหนักต่อเนื่องโดยที่แทบไม่ได้พักมีส่วนทำให้สภาพร่างกายของนักเตะอ่อนล้า ประกอบกับการที่ฟุตบอลฤดูกาลต่อมาเริ่มต้นเร็วกว่าปกติเล็กน้อย เนื่องจากมีฟุตบอลโลก 2022 รอคั่นกลาง ทำให้เวลาในการพักฟื้นร่างกายไปจนถึงจิตใจอาจจะไม่เพียงพอ

 

สุดท้ายลิเวอร์พูลออกอาการ ‘เครื่องสะดุด’ กันตั้งแต่พรีซีซัน โดยแม้จะเหมือนคืนชีพในเกมคอมมูนิตี้ชิลด์ที่ชนะแมนฯ ซิตี้ได้ แต่เมื่อเปิดฤดูกาลจริงๆ กลับพังพาบอย่างต่อเนื่อง

 

จุดใหญ่ที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาคือพื้นที่กลางสนาม นักเตะอย่างฟาบินโญ, เฮนเดอร์สัน ไปจนถึงมิลเนอร์ โรยราลงอย่างน่าใจหาย ขณะที่เกตา หรือติอาโก อัลคันทารา ก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดเวลา

 

นั่นเป็นที่มาของการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของคล็อปป์และทีมสตาฟฟ์

 

ลิเวอร์พูลต้องยกเครื่องมิดฟิลด์ใหม่!

 

การตัดสินใจดังกล่าวทำให้พวกเขายอมยกธงในการไล่ล่า จูด เบลลิงแฮม ซูเปอร์สตาร์ของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ที่เป็นข่าวต่อเนื่องมาหลายเดือน เพราะประเมินแล้วว่าการทุ่มงบประมาณเพื่อแลกกับกองกลางแค่คนเดียวอาจไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นได้

 

ลิเวอร์พูลต้องการกองกลางใหม่มากกว่า 1 คน

 

และสุดท้ายด้วยระบบการเฟ้นหานักเตะที่ยอดเยี่ยม ทำให้พวกเขาได้กองกลางใหม่ถึง 4 คนในราคาประเมินใกล้เคียงกับค่าตัวของเบลลิงแฮมเพียงคนเดียว 

 

กองกลาง ลิเวอร์พูล

 

‘ออลนิว’ แผงกลางลิเวอร์พูล

 

การมาของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิก โซโบสไล, วาตารุ เอนโดะ และ ไรอัน กราเวนเบิร์ช สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนฟุตบอลลิเวอร์พูลได้ไม่น้อย

 

เพราะทั้งสี่ต่างมีคุณลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป และเป็นที่คาดเดากันสนุกว่าแต่ละคนจะได้เล่นตรงไหนบ้างในทีม ซึ่งปรากฏว่านับจากเริ่มฤดูกาลใหม่ในเดือนสิงหาคมมาจะเข้าเดือนที่ 4 ดูเหมือนจะพอมีคำตอบที่ชัดเจน

 

ลิเวอร์พูลใช้ระบบการเล่นในแบบผสมผสาน หรือ ‘ไฮบริด’ โดยในจังหวะเกมรับจะยืนตำแหน่งในแบบ 4-3-3 ตามรูปแบบปกติที่คุ้นเคย แต่เมื่อเป็นฝ่ายรุกจะยืนตำแหน่งในระบบ 3-Box-3 (หรือ 3-2-2-3) แทน โดยตำแหน่งที่มีการขยับมากที่สุดคือแบ็กขวาที่เป็นกองกลางในตัวเดียวกันอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

 

ขณะที่ตำแหน่งในแดนกลางนั้นไม่ได้ตรงกับความคาดหวังทีแรกสักเท่าไร

 

อัลลิสเตอร์ มิดฟิลด์ที่ปกติจะถนัดการเล่นเป็น ‘หมายเลข 8’ ถูกขอให้ถอยลงมายืนเป็นกองกลางตัวรับในบท ‘หมายเลข 6’ เพื่อทดแทนฟาบินโญที่อำลาทีมไปซาอุดีอาระเบีย

 

โซโบสไลซึ่งปกติเป็นผู้เล่นตำแหน่งปีกที่เน้นเกมรุกเต็มขั้นได้บทกองกลางฝั่งขวา เป็นหมายเลข 8 แบบ Box-to-box แทนที่ของเฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่ไปพร้อมกับฟาบินโญ

 

ส่วนกราเวนเบิร์ชที่เดิมถูกคาดหมายว่าจะเป็นกองกลางตัวรับในบทหมายเลข 6 ก็กลายเป็นกองกลางฝั่งซ้ายที่จะคอยชิงตำแหน่งกับ เคอร์ติส โจนส์ และดูเหมือนจะทำได้โดดเด่นกว่า โดยเฉพาะเรื่องของการสร้างสรรค์เกมรุก สามารถพาบอลขึ้นหน้าได้ด้วยตัวเอง

 

มีเพียงเอนโดะคนเดียวที่เล่นเป็นกองกลางตัวรับหมายเลข 6 ตามตำแหน่งถนัดของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้โอกาสในการลงสนามมากนัก เนื่องจากขาดความเร็ว และยังอยู่ระหว่างการปรับสไตล์ให้เข้ากับทีมและฟุตบอลอังกฤษ

 

อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่านักเตะใหม่ทั้งสี่ช่วยทีมได้มาก ลิเวอร์พูลกลับมาเป็นทีมที่ดูมีเรี่ยวแรงกระชุ่มกระชวยอีกครั้ง

 

แม้ว่าจะยังมีเรื่องความไม่เข้าที่อยู่บ้าง โดยเฉพาะบทของอัลลิสเตอร์ที่เหมือนจะ ‘ฝืน’ จนเกินไป แต่คล็อปป์ก็ยืนกรานที่จะใช้งานกันไปแบบนี้

 

ซาลาห์ และผู้เล่น ลิเวอร์พูล

 

เทศกาลดอกไม้ไฟ

 

แต่สิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาเป็นทีมที่น่ากลัวอีกครั้ง จริงๆ แล้วไม่ใช่ผลงานของนักเตะในแดนกลาง หากแต่เป็นพลังทำลายล้างของ 5 ผู้เล่นแนวรุกที่มาปลดล็อกสกินทองในเวลาไล่เลี่ยกันในฤดูกาลนี้

 

การสูญเสียโรแบร์โต เฟอร์มิโน นักเตะ ‘False 9’ ที่เป็นผู้ร้อยรัดทีมตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลเสียอะไร เมื่อกองหน้าที่ลิเวอร์พูลสะสมเอาไว้ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเริ่มค้นพบจังหวะและผลัดกันโชว์ของทีละคน

 

ลูกพี่ใหญ่ที่เป็นคีย์แมนหมายเลขหนึ่งที่ไม่สามารถขาดได้คือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งแม้จะเริ่มต้นฤดูกาลแบบเงียบๆ แต่ผลงานค่อยๆ ร้อนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนถึงตอนนี้ทำไปแล้ว 10 ประตู เป็นรองเพียงแค่ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ของแมนฯ ซิตี้ที่ยิงไป 13 ประตูแค่คนเดียว

 

นอกจากซาลาห์แล้ว คนที่กำลังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาในฤดูกาลนี้คือ ดาร์วิน นูนเญซ หัวหอกทีมชาติอุรุกวัยที่เริ่มปรับตัวกับการเล่นในทีมได้ และกลายเป็นอาวุธทำลายล้างที่น่ากลัวสำหรับทุกทีม เพราะมีความเร็วและพลังรุนแรงระดับภัยพิบัติ อีกทั้งสะสมความมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ลงมาเหมา 2 ประตูให้ทีมพลิกชนะนิวคาสเซิลได้

 

ขณะที่ ดีโอโก โชตา อยู่เงียบๆ แต่ก็มีทีเด็ดทีขาดให้เห็นตลอด ส่วนหลุยส์ ดิอาซ ในช่วงก่อนหน้าจะมีเรื่องพ่อถูกลักพาตัวก็อยู่ในฟอร์มการเล่นที่มั่นใจ ลีลาการกระชากลากเลื้อยถูกเพิ่มเรื่องการหาจังหวะสอดขึ้นไปลุ้นทำประตู (และทำประตูสำคัญให้ทีมไม่แพ้ที่ลูตัน)

 

และคนสุดท้ายคือ โคดี กักโป ที่อาจจะเงียบที่สุด แต่เหมือนจะรอคอยโอกาสและเวลของตัวเองอยู่ โดยที่จังหวะการเล่นดูค่อยๆ คมขึ้น และความพิเศษส่วนตัวคือนอกจากจะเล่นตัวรุกยังสามารถถอยลงมาช่วยแดนกลางได้ด้วย

 

นั่นทำให้ลิเวอร์พูลยิงไปแล้วถึง 27 ประตูในฤดูกาลนี้ เป็นรองแค่แอสตัน วิลลา (29) และแมนฯ ซิตี้ (32) เท่านั้น และสิ่งที่ดีกว่าคือการที่ภาระในการทำประตูไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง

 

แต่เป็นใครก็ได้ใน 5 คนนี้ที่พร้อมเป็นฮีโร่ของทีมตลอด

 

คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือ แมนซิตี้

 

พร้อมหรือไม่พร้อม?

 

ถึงผลงานจะดีพอสมควร (แพ้สเปอร์สแบบเจ็บช้ำนัดเดียวจาก 12 นัดในลีก) แต่หากจะถามว่าลิเวอร์พูลพร้อมสำหรับการกลับมาสู้กับแมนฯ ซิตี้ (และอาร์เซนอล) เพื่อช่วงชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งไหมในฤดูกาลนี้?

 

คำตอบที่ได้อาจจะไม่ชัดเจน

 

จริงอยู่ที่แผงกลางชุดใหม่ถือว่าดี เกมรุกตระการตา และเกมรับก็กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง โดยเฉพาะ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กัปตันทีมคนปัจจุบันที่ค่อยๆ พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถกลับมาเล่นในระดับสูงสุดเหมือนเดิมได้อีกครั้ง โดยที่ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูนั้นวางใจได้เสมอ เพราะตอนนี้เป็นหนึ่งในนายทวารที่เก่งและครบเครื่องที่สุดในโลก

 

แต่เมื่อคิดถึงแมนฯ ซิตี้ ที่แม้จะมีการปรับเปลี่ยนยกเครื่องกันวุ่นวายไม่น้อยเหมือนกัน แต่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังดูเหมือนจะอยู่ในระดับและมาตรฐานที่สูงกว่า โดยเฉพาะเรื่องของความ ‘เนี้ยบ’ ในการเล่นที่เห็นได้ชัด

 

การจะขอวัดกับคู่ปรับเก่าที่เคยขับเคี่ยวกันจนหยดสุดท้ายในฤดูกาล 2018/19, 2021/22 ตอนนี้เหมือนจะยังเร็วเกินไป

 

ลิเวอร์พูลยังต้องพัฒนาในเรื่องของความสม่ำเสมอ ต้องพิสูจน์เรื่องของการยืนระยะ และพัฒนาการเล่นเป็นทีม เพราะหากคำนวณกันทางความรู้สึก อาร์เซนอลของ มิเกล อาร์เตตา ยังดูเหมือนจะนำหน้าพวกเขา และเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกับแมนฯ ซิตี้มากกว่า (แถมยังเอาชนะได้ด้วย!)

 

เพราะสิ่งที่เคยทำได้ในอดีตไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะทำได้ง่ายๆ ในปัจจุบัน

 

เกมไปเยือนเอติฮัด สเตเดียมครั้งนี้จึงไม่ใช่โอกาสที่ควรจะคาดหวังมากนัก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงสถิติประกอบที่ลิเวอร์พูลไม่ชนะแมนฯ ซิตี้ในเกมเยือนมา 8 ปี ผลงานเกมเยือนในฤดูกาลนี้ก็ไม่ถือว่าดีเท่าไรนัก (ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 1)

 

และสถิติในการเล่นเกมคู่ ‘เที่ยงวัน’ (12.30 น. ตามเวลาที่อังกฤษ) ของลิเวอร์พูลในยุคคล็อปป์ก็เรียกได้ว่าขี้เหร่ เคยทำแต้มหล่นในการเจอสวอนซี, วัตฟอร์ด, เอฟเวอร์ตัน (หลายหน), เวสต์บรอมวิช อัลเบียน, สโต๊ก ซิตี้, นิวคาสเซิล, เลสเตอร์ ซิตี้, ฟูแลม, น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ และบอร์นมัธมาแล้ว

 

แต่หากคิดในอีกมุมหนึ่ง หากคิดจะรอตอน ‘พร้อม’ แล้วค่อยลุย ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าเมื่อไรที่จะพร้อม

 

นี่คือโอกาสที่ลิเวอร์พูลจะได้ลองของ ทดสอบตัวเองอย่างจริงจัง โดยที่มี ‘การบ้าน’ ให้ลอกจากวูล์ฟส, อาร์เซนอล และล่าสุดคือเชลซี ที่แสดงให้เห็นว่าทีมที่แกร่งโคตรๆ อย่างแมนฯ ซิตี้ก็มีจุดอ่อน และสามารถบีบจนทำให้พวกเขาเล่นผิดและพลาดเองได้เหมือนกัน

 

มันไม่สำคัญหรอกว่าหลังจบเกมนัดนี้แมนฯ ซิตี้จะเป็นอย่างไร จะกลับมาชนะรวด 14-15 นัด พวกเขาก็สามารถทำได้

 

มันสำคัญกับทีมอย่างลิเวอร์พูลมากกว่า พวกเขากล้าพอที่จะลองวัดไหม

 

พร้อมหรือไม่พร้อมไม่ได้อยู่ที่คำพูดหรือความคิดของใคร

 

อยู่ที่ใจของพวกเขาเอง

 

อ้างอิง:

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

FYI
  • ในเกมที่อาร์เซนอลเอาชนะแมนฯ ซิตี้ได้ 1-0 ในเดือนตุลาคม พวกเขาใช้การเพรสซิงสูง บีบให้แมนฯ ซิตี้จ่ายบอลได้ไม่เกิน 3 ทีในแดนของแมนฯ ซิตี้เองได้ถึง 16 ครั้ง
  • เชลซีใช้เกมเพรสซิงหนัก บีบให้แมนฯ ซิตี้ จ่ายบอลต่อเนื่องกัน 10 ที (ในการบิลด์อัพเกม) ได้เพียงแค่ 12 ครั้ง น้อยที่สุดที่ทีมของกวาร์ดิโอลาทำได้ในฤดูกาลนี้ ส่วนวูล์ฟสรับแล้วตีหัวเข้าบ้านเอา…
  • ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่เข้าถึงพื้นที่สุดท้าย (Final Third) ได้มากกว่าทีมไหนในฤดูกาลนี้ถึง 209 ครั้ง หาโอกาสยิงได้ 60 ครั้ง เป็นรองแค่แมนฯ ยูไนเต็ดทีมเดียว จุดสำคัญคือเรื่องการเปลี่ยนจังหวะจากรับเป็นรุก (Transition) ของลิเวอร์พูลที่ดีมากในฤดูกาลนี้
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising