×

โค้งคำนับให้แก่แมตช์คลาสสิกที่สมราคา ‘The Greatest Show on Earth’

11.04.2022
  • LOADING...
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ตลอด 90 นาทีที่ผ่านพ้นไป ปฏิเสธไม่ได้ว่าแมนฯ ซิตี้ คือทีมที่ทำได้ดีกว่า และหากจะมีผู้ชนะสักทีมในเกมนี้ ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็สมควรที่จะได้รับชัยชนะนั้นไป
  • เดอ บรอยน์ ไม่เพียงแค่ยิงหนักหน่วงจนกลายเป็นที่มาของประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 5 แต่เขายังสามารถผ่านบอลได้อย่างคมกริบราวใบมีดโกนด้วยน้ำหนักและทิศทางที่ไร้ที่ติ เขายังสามารถเลือกช็อตการเล่นได้ดีที่สุดเสมอราวกับมีมนตร์วิเศษที่ทำให้อยู่เหนือการควบคุมของ Space and Time และเลือกได้ว่าจะเล่นช็อตไหนด้วยวิธีแบบไหน
  • นักเตะลิเวอร์พูลไม่เคยละความเชื่อหรือความหวัง พวกเขาจะพยายามเพื่อหาทางกลับมาเสมอไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากขนาดไหน และเราก็ได้เห็นการพยายามลุกขึ้นยืนหยัดทุกครั้งที่ถูกไล่ทุบจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น
  • นี่คือเกมฟุตบอลในระดับคุณภาพสูงที่สุดที่สนุกเร้าใจที่สุดในยุคสมัยนี้ สมคำที่พรีเมียร์ลีกบอกตัวเองว่าเป็น The Greatest Show on Earth

เสียงหัวใจยังเต้นดัง แม้ว่าเสียงนกหวีดสุดท้ายของเกมจะผ่านไปสักพักแล้ว

 

เกมที่เอติฮัดสเตเดียมจบลงด้วยการเสมอกันไประหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และลิเวอร์พูล ในรูปแบบที่คล้ายภาพสะท้อนอีกด้านของการพบกันครั้งแรกที่แอนฟิลด์กับผลการแข่งขัน 2-2 โดยที่เจ้าบ้านเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน 2 ครั้ง แต่ทีมเยือนก็สามารถไล่ตามตีเสมอได้ทั้ง 2 ครา

 

ความจริงหาก ริยาด มาห์เรซ จะลดความมั่นใจของตัวเองลงสักนิด และเลือกทางเลือกที่ง่ายและดีกว่าสำหรับทีมด้วยการผ่านบอลให้แก่ เควิน เดอ บรอยน์ ที่เติมขึ้นมาช่วย สิ่งที่เราจะพูดถึงกันหลังจบเกมจะแตกต่างออกไป

 

เราจะได้เห็นการสดุดีของแมนฯ ซิตี้ ในฐานะทีมที่เก่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกและมีความเป็นไปได้ที่จะเก่งที่สุดในโลกด้วย เพราะตลอด 90 นาทีที่ผ่านพ้นไปนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาคือทีมที่ทำได้ดีกว่า และหากจะมีผู้ชนะสักทีมในเกมนี้ ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็สมควรที่จะได้รับชัยชนะนั้นไป

 

นักเตะในชุดสีฟ้าสร้างความประหลาดใจให้แก่คู่แข่งในชุดสีแดงเพลิงได้อย่างมากด้วย ‘ความเร็ว’ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วของผู้เล่น ความเร็วของสปีดบอล และที่สำคัญที่สุดคือความเร็วของความคิด ที่ทำให้แม้แต่ทีมอย่างลิเวอร์พูลที่เคยไล่ต้อนคู่แข่งอย่างสนุกเท้าก็ทำได้เพียงแค่การวิ่งไล่ตามหลังจนหน้าซีด

 

ไม่ได้ต่างอะไรจากการวิ่งไล่ตามเงาที่ทำอย่างไรก็ไม่มีวันไล่ทัน

 

ท่ามกลางความยอดเยี่ยมของผู้เล่นซิตี้ในทุกตำแหน่งที่ไม่มีใครเล่นได้แย่หรือต่ำกว่ามาตรฐานเลย คนที่เป็นศูนย์กลางและเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในสนามคือ ‘KDB’ เควิน เดอ บรอยน์ ซึ่งประเมินจากสิ่งที่เห็นแล้ว ในความเห็นส่วนตัว กองกลางชาวเบลเยียมได้บรรลุศาสตร์การเล่นฟุตบอลไปถึงในระดับเดียวกับที่ ซีเนดีน ซีดาน เคยทำได้มาเมื่อ 2 ทศวรรษที่แล้ว

 

นั่นหมายถึงเขาคือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกตอนนี้ตัวจริง หาใช่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เขาพูดกันแต่อย่างใด

 

และนั่นไม่ได้หมายถึงซาลาห์เล่นไม่ออก เพราะความจริงแล้วสตาร์ชาวอียิปต์กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดในรอบ 2 เดือน และลูกจ่ายคมกริบของเขาคือจุดสำคัญของเกม เพราะทำให้ ซาดิโอ มาเน ยิงประตูตีเสมอให้ลิเวอร์พูลได้ในนาทีแรกของเกมครึ่งหลัง หรือหากจะพูดให้ชัดเจนตามคำของ ปีเตอร์ ดรูรี ผู้บรรยายเกมผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีลูกหนังแห่งยุคคือ ‘วินาทีที่ 46 ของนาทีที่ 46’

 

แต่อิทธิพลในเกมของเดอ บรอยน์ นั้นเหนือกว่าซาลาห์อย่างเห็นได้ชัด ทุกจังหวะที่บอลอยู่ในการครอบครองของเขาหมายถึงโอกาสที่ซิตี้จะได้ประตูเสมอ และการเล่นของเขาเกือบทุกจังหวะคือความสมบูรณ์แบบ

 

The Greatest Show on Earth

บรรยาย: ไม่มีใครหยุด เควิน เดอ บรอยน์ ได้ในยามนี้

 

เดอ บรอยน์ ไม่เพียงแค่ยิงหนักหน่วงจนกลายเป็นที่มาของประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 5 แต่เขายังสามารถผ่านบอลได้อย่างคมกริบราวใบมีดโกนด้วยน้ำหนักและทิศทางที่ไร้ที่ติ เขายังสามารถเลือกช็อตการเล่นได้ดีที่สุดเสมอราวกับมีมนตร์วิเศษที่ทำให้อยู่เหนือการควบคุมของ Space and Time และเลือกได้ว่าจะเล่นช็อตไหนด้วยวิธีแบบไหน

 

ที่สำคัญที่สุดคือ ในเกมสำคัญในวันที่ทีมต้องการใครสักคนที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงผลการแข่งขัน ดาวเตะชาวเบลเยียมผู้เป็น Introvert (อ่านต่อ: เควิน เดอ บรอยน์ ยอดนักเตะ Introvert ผู้ขอใช้ฝีเท้าพูดแทนในสนาม) จะเป็นคนนั้นเสมอ


ส่วนหนึ่งอาจมาจากความเจ็บปวดจากวันที่ซิตี้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อ 2 ฤดูกาลที่แล้ว แต่เขาโชคร้ายโดน อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ปะทะ จนศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนจนไม่สามารถลงเล่นต่อได้ไหว และทีมก็กลายเป็นผู้แพ้ เช่นเดียวกับในเกมฟุตบอลยูโร 2022 ที่เขาได้รับบาดเจ็บข้อเท้า แต่ฝืนลงเล่นต่อด้วยการฉีดยาชา ซึ่งสุดท้ายก็ช่วยเบลเยียมไม่ได้อยู่ดี

 

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเดอ บรอยน์ จะยอดเยี่ยมแค่ไหน ซิตี้เองก็ไม่อาจเอาชนะลิเวอร์พูลได้เหมือนกัน

 

แชมป์ลีกสูงสุด 19 สมัยผู้มาพร้อมกับความฝันที่จะสร้างตำนานด้วยการไล่ตามหลังจาก 14 คะแนนในเดือนมกราคม (แต่ก็มาจากการลงเล่นน้อยกว่า 2 นัด) เพื่อคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ซึ่งจะกลับมาเทียบเท่ากับแมนเชสเตอร์​ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลที่เขี่ยพวกเขาลงจากบัลลังก์เมื่อ 9 ปีที่แล้ว อาจจะไม่ได้เล่นในฟอร์มที่ดีที่สุด แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พยายามจนถึงที่สุด

 

มีเพียงเหตุผลเดียวที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลเอาตัวรอดจากลานประหารสีฟ้าได้ทั้งที่พวกเขาเป็นรองแทบทุกด้าน ไม่เพียงแค่เรื่องความสามารถของผู้เล่น แต่ยังรวมถึงแท็กติกและกลยุทธ์การเล่น ซึ่งเกมนี้เป๊ปแสดงให้เห็นว่าสมองของเขามีไว้ใช้เพื่อการค้นพบคำตอบใหม่ๆ ในการทำให้เกมฟุตบอลดีขึ้นไปอีกระดับ และซิตี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าพวกเขากำลังจะก้าวไปอีกระดับที่สูงกว่า

 

เหตุผลนั้นคือคำว่า Mentality Monster หรือจิตใจที่แกร่งเหมือนสัตว์ประหลาด ซึ่งถูกปลูกฝังเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจของลูกทีมทุกคน

 

นักเตะลิเวอร์พูลไม่เคยละความเชื่อหรือความหวัง พวกเขาจะพยายามเพื่อหาทางกลับมาเสมอไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากขนาดไหน และเราก็ได้เห็นการพยายามลุกขึ้นยืนหยัดทุกครั้งที่ถูกไล่ทุบจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น

 

จากครึ่งแรกที่มีสภาพไม่ต่างอะไรจากคนที่โดนจับหัวกดน้ำ ในครึ่งหลังนักเตะลิเวอร์พูลซึ่งได้รับคำสั่งง่ายๆ จากคล็อปป์ว่า “ต้องมีสมาธิมากกว่านี้เวลาเจอคู่แข่งระดับ Elite แบบนี้” ก็กลับมาพอจะลุกขึ้นต้านทานได้บ้าง ซึ่งแน่นอนว่าประตูตีเสมอจากมาเนที่เกิดขึ้นในยามที่ซิตี้ยังไม่ทันตั้งกระบวนท่ารับมีส่วนช่วยมาก แต่พวกเขาก็ทำได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะยังไม่ดีพอสำหรับผลการแข่งขันที่พวกเขาต้องการก็ตาม

 

แต่ขั้นต่ำที่สุดคือ นักเตะของคล็อปป์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าต่อให้เป็นวันที่คู่แข่งอย่างซิตี้มาดีแค่ไหน พวกเขาดูมีแววจะเพลี่ยงพล้ำอย่างไร ถ้าหัวใจไม่ยอมแพ้ก็คือไม่แพ้

 

ทั้งนี้ แม้ว่าผลการแข่งขันจะทำให้สถานการณ์และโอกาสในการลุ้นแชมป์เข้าทางซิตี้มากขึ้น และคล็อปป์ก็ยอมรับเป็นนัยว่า “นี่เป็นผลการแข่งที่เราต้องอยู่กับมันให้ได้” แต่พรีเมียร์ลีกยังไม่ได้จบแค่ตรงนี้ ยังเหลืออีก 7 นัดก่อนจะจบฤดูกาล

 

จุดเปลี่ยนหรือจุดพลิกผันยังอาจเกิดขึ้นได้กับทั้งสองทีม ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งหมด

 

แต่สิ่งที่ชัดเจนที่ปรากฏขึ้นต่อสองตาของผู้ชมไม่ว่าจะอยู่ที่เอติฮัดสเตเดียมหรืออยู่ที่ลาดพร้าวคือ เราเพิ่งจะชมเกมระดับ ‘คลาสสิก’ แม้คำว่าคลาสสิกจะเป็นคำที่เกร่อสักหน่อยในยุคนี้ แต่สำหรับเกมนี้คู่ควรกับคำนี้อย่างแท้จริง

 

เกมคลาสสิกที่ไม่ต้องมีดราม่า ไม่ต้องท้าตีท้าต่อย ไม่ต้องบันดาลโทสะแต่อย่างใด

 

เกมนี้ว่ากันด้วยคุณภาพและความบันเทิงล้วนๆ

 

ภาพจำที่ดีที่สุดและจะมีอายุยืนยาวที่สุดในความทรงจำสำหรับเกมนี้คือ ภาพหลังเสียงนกหวีดจบลงแล้วคล็อปป์เดินไปหาเป๊ปที่หันกลับมา ก่อนทั้งสองจะจับมือกันด้วยน้ำหนักที่หนักแน่น

 

นี่คือเกมฟุตบอลในระดับคุณภาพสูงที่สุดที่สนุกเร้าใจที่สุดในยุคสมัยนี้ สมคำที่พรีเมียร์ลีกบอกตัวเองว่าเป็น The Greatest Show on Earth

 

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันมากมายก็จริงในจังหวะที่มือสัมผัสกัน แต่เหมือนเราจะได้ยินความคิดของพวกเขาโดยไม่ตั้งใจ ‘สนุกใช่ไหมเพื่อน’ 

 

The Greatest Show on Earth

 

ก่อนที่หลังจากการให้สัมภาษณ์ที่ข้างสนามตามธรรมเนียมจบลง คล็อปป์จะเดินไปหากองเชียร์ทีมเยือนที่ยังต้องอยู่ในสนาม เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่ระบายแฟนบอลเจ้าถิ่นออกจากสนามให้หมดก่อนตามมาตรการรักษาความปลอดภัย

 

วันนี้กุนซือชาวเยอรมันไม่ได้ชูกำปั้นแล้วต่อยอากาศอย่างสะใจเหมือนทุกครั้ง

 

เขาถอดหมวกก่อนโค้งคำนับให้แก่แฟนๆ ของเขาทุกคน ในขณะที่แฟนบอลไม่ว่าจะเป็นแฟนลิเวอร์พูล แฟนแมนฯ ซิตี้ หรือแฟนทีมใดก็ตามที่ได้ดูก็ Take a Bow กลับให้ในใจเช่นกัน

FYI
  • แมนฯ ซิตี้ และลิเวอร์พูล จะกลับมาพบกันอีกครั้งสัปดาห์หน้าในเกมรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพที่สนามเวมบลีย์
  • และมีโอกาสที่จะพบกันในศึกชิงถ้วยใบใหญ่ที่สุดด้วยหากทั้งสองทีมผ่านด่านรอบก่อนรองชนะเลิศได้ และผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising