×

ถอดบทเรียนโลกการทำงานจาก The Face Thailand Season 4 All Stars EP.3

25.02.2018
  • LOADING...

หลังจากสัปดาห์ก่อนผู้เข้าแข่งขัน The Face Thailand Season 4 All Stars ส่วนใหญ่ดูง่วงงืดเหมือนยังไม่ตื่น มาสัปดาห์นี้ทุกคนตื่นกันหมดแล้ว คงเริ่มรู้ตัวแล้วว่านี่เผาจริงแล้วไม่ใช่เผาหลอก ทำให้การแข่งขันในสัปดาห์นี้สนุกขึ้นมาก ที่สำคัญ มันสนุกมากเพราะเนื้อแท้ของการแข่งขันมันเข้มข้นจริงๆ ทั้งที่ไม่มีใครมาดราม่าใส่กันเลย ทุกคนตั้งใจแข่งขันเต็มที่

 

โจทย์แคมเปญสัปดาห์นี้คือการถ่ายรูปกลุ่มกับ Drag Queens ซึ่งพร้อมจะขโมยซีนของทุกคน ความท้าทายคือ จะทำอย่างไรให้เราไม่โดนกลบ แต่ก็ต้องไม่เด่นเกินหน้าคนอื่น ต้องออกมาดูกลมกลืนเป็นเรื่องเดียวกัน และยังต้องสวมบุคลิกเป็น Drag ที่ต้องมีทั้งจริตดราม่าในทุกท่วงท่า มีการโพสที่ต้องแปลกและล้นกว่าปกติแบบที่ผู้เข้าแข่งขันไม่เคยทำมาก่อน ไหนจะต้องใส่ชุดที่ถ้าผู้สวมใส่ปล่อยพลังข้างในออกมาไม่พอก็จะโดนชุดฆ่าตายเองอีก โอ๊ย! ไม่ใช่ง่ายๆ เลยโจทย์นี้

 

อันนี้ต้องปรบมือให้ทีมงานจริงๆ ว่าคิดโจทย์สัปดาห์นี้มาได้ดี ท้าทายจริง (ไม่เหมือน The Face Men Thailand ที่แคมเปญแต่ละสัปดาห์ไม่ค่อยท้าทายเลย) เหมือนจะง่ายแต่ยากมาก (นี่สิ น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชั่น!) และกราบฝีมือการกดชัตเตอร์ของพี่ติ๋ม-พันธ์สิริ สิริเวชชะพันธ์ จริงๆ เพราะรูปออกมาเลอค่าจริงๆ ถือเป็นอีพีที่ควรค่าแก่การปรบมือให้ และน่าติดตามว่าตอนต่อๆ ไปจะสนุกขนาดไหน

 

สนุกกับการแข่งขันแล้ว สัปดาห์นี้เรายังได้เห็นตัวอย่างการทำงานที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่ม ซึ่งเราสามารถเรียนรู้และเอาไปใช้กับโลกการทำงานได้อีกด้วย มีอะไรบ้าง เรามาถอดบทเรียนกันครับ

 

ติดตามดูรายการ The Face Thailand Season 4 All Stars EP.3 ย้อนหลังได้ที่ tv.line.me/v/2767343/list/191815

 

* บทความมีการสปอยล์เนื้อหาของรายการ

 

 

บรีฟงานให้เห็นภาพและลงรายละเอียด

สิ่งที่เป็นจุดแข็งทุกครั้งของทีมลูกเกด และเป็นจุดที่ผมชอบมากในทุกซีซัน คือการบรีฟงานแบบลงรายละเอียดและทำให้ลูกทีมเห็นภาพตรงกัน เช่น การเปิดรูป เดวิด โบวี (David Bowie) ให้นิคกี้ดู เพื่อให้นิคกี้เข้าใจคาแรกเตอร์ที่ตัวเองจะต้องสวมอยู่ตลอดการแข่งขัน เมื่อเห็นภาพตรงกันก็ทำให้พออยู่หน้าเซต นิคกี้สามารถจูนคาแรกเตอร์ของตัวเองเป็นแบบเดวิด โบวี ได้จนขนาดพี่อาร์ต-อารยา อินทรา กรรมการยังชมว่าทำได้ดีมาก และดูออกว่าใช้บุคลิกแบบเดวิด โบวี เช่นเดียวกัน เมื่อโจทย์คือการแต่งแบบ Drag ซึ่งต้องโพสท่าแบบล้นๆ เยอะๆ เกินมนุษย์ทั่วไป พี่เกดก็ทำท่าประหลาดๆ (แต่ยังอยู่ในเกณฑ์แฟชั่นอยู่) ให้ลูกทีมดู และก็ลองให้ลูกทีมทำแล้วคอมเมนต์ว่าต้องมากขึ้นอีกแค่ไหน

 

 

ผมคิดว่าคนทำงานอย่างพวกเราสามารถเอาวิธีการของเมนเทอร์ลูกเกดไปใช้ได้นะครับ ยิ่งทำงานกับคนหลายคน เราต้องแน่ใจให้ได้ว่าทุกคนเห็นภาพเดียวกับเรา นั่นแปลว่าเราต้องลงรายละเอียดให้มากพอ หรือควรมีตัวอย่างให้เขาดูอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เราต้องการเป็นแบบไหน

 

ภาพ Fashion Set #TeamCrisKade

Photo: The Face Thailand /Instagram

 

ทีมริต้าก็เช่นกัน น่าชื่นชมมากที่ลงรายละเอียดชนิดที่กำหนดคาแรกเตอร์ให้ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนเลย ทำให้แต่ละคนต้องรับผิดชอบบุคลิกที่แตกต่างกันหมด ไม่มีใครซ้ำกัน ทุกคนได้รับบรีฟที่ชัดเจนหมดว่าตัวเองต้องเป็นอะไร และรู้ว่าเพื่อนคนอื่นๆ เป็นแบบไหนเพื่อที่จะไม่ซ้ำทางกัน

 

 

ที่เซอร์ไพรส์กว่านั้นและยอมรับในลูกบ้าของเมนเทอร์ริต้า คือการให้โจเซฟสวมวิญญาณเป็น Drag ไปเลย ซึ่งหลุดไปจากที่โจเซฟเป็น (ในขณะที่เมนเทอร์พลอยบรีฟให้อติลายังคงเป็นคาแรกเตอร์ผู้ชายเหมือนเดิม) ต้องถือว่าเป็นการมอบหน้าที่ที่ท้าทายมากให้กับลูกทีม ซึ่งถ้าทำได้จะเยี่ยมมาก แต่ถ้าโจเซฟทำได้ไม่ถึงก็จะพังมาก อันนี้ต้องชมโจเซฟด้วยที่มองว่าถ้าตีโจทย์มาแบบไหนก็ต้องทำได้ทุกอย่าง ไม่มีขัดเขิน และก็ไม่พะวงว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ไม่ถนัด ถือเป็นความท้าทาย

 

 

พอโยนโจทย์แบบนี้ให้โจเซฟปั๊บ จะเห็นได้ว่าเมนเทอร์ริต้าก็ไม่ได้ปล่อยให้โจเซฟลอยเคว้งอยู่คนเดียว แต่ยิ่งให้รายละเอียดกับโจเซฟมากขึ้น ตรงนี้สำคัญมากครับเพราะว่าโจเซฟไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อน ถ้าบรีฟที่เมนเทอร์ให้โจเซฟมันคร่าวมากเขาจะคิดไม่ออกว่าต้องทำอะไร และจะรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือเปล่า ไปจนถึงอาจจะรู้สึกว่าเป็นการโยนงานมาให้เขาโดยที่ไม่บอกอะไรเขาให้ชัดเจนเลย แต่เมนเทอร์ริต้าบรีฟลงรายละเอียดกับโจเซฟมาก ทั้งให้โจเซฟไปโกนหนวด ล้างบุคลิกใหม่หมด สอนการโพสจริตมาดอนน่าเข้าไปและเรียกโจเซฟว่า ‘โจโจ้’ แทน เพื่อกำหนดคาแรกเตอร์ให้โจเซฟอินไปด้วยเลย ยิ่งให้รายละเอียดมากเท่าไรก็เป็นการทำให้ลูกน้องมั่นใจมากขึ้น พอเขามั่นใจมากขึ้นก็จะทำได้ดีขึ้น

 

 

ภาพ Fashion Set  #TeamBeeRita

Photo: The Face Thailand /Instagram

 

เวลาที่เราให้โจทย์ใหม่ๆ กับลูกน้องที่ไม่เคยทำมาก่อน เราต้องไม่ปล่อยให้เขาเคว้งและรู้สึกไม่มั่นใจ เราต้องให้รายละเอียดกับเขามากๆ จนเขาเข้าใจมันจริงๆ และมั่นใจในตัวเองมากขึ้นว่าจะสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ ทั้งยังเป็นการบอกลูกน้องไปกลายๆ ว่า แม้พี่จะผลักให้น้องลงไปว่ายน้ำเองแต่พี่ก็ยังเป็นห่วงน้องอยู่ ไม่ได้ทิ้งน้องไปไหน พี่สอนให้แล้ว ที่เหลือไปหัดว่ายเองได้แล้วนะ

 

 

สอนให้ลูกน้องต่อยอดความรู้เป็น

โดยส่วนตัวผมชอบจุดที่เมนเทอร์ริต้าเลือกมาสอนลูกทีมในเวลาจำกัด คือแทนที่จะสอนทีละท่าซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานาน แต่เมนเทอร์เลือกสอนแค่บางท่าแต่เป็นท่าที่ลูกทีมสามารถเอาไปต่อยอดได้อีกหลายท่าทันที สิ่งที่เมนเทอร์ริต้าเลือกมาสอนคือการจับเอวว่า แค่จับเอวแต่องศาเปลี่ยน บุคลิกก็เปลี่ยน ท่าทางที่สื่อสารออกมาจากภาพก็เปลี่ยน เอาว่าแค่น้องเล่นกับเอวก็มีท่าเกิดขึ้นได้เยอะแล้ว เพราะฉะนั้น ภายในเวลาสั้นๆ ลูกทีมสามารถได้รับข้อมูลที่เอาไปใช้ต่อยอดตอนแข่งได้อีกเพียบจากแค่ท่าเดียว ยิ่งลูกทีมที่ฉลาดจะเอาไปต่อยอดได้เองอีก อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะรับมาแล้วเอาไปต่อยอดใช้ได้มากน้อยแค่ไหน

 

ถ้าจะเรียนรู้จากวิธีการของเมนเทอร์ริต้าได้ก็คือ เวลาเรามีลูกน้อง บางทีเราสอนเขาไม่ได้ทุกอย่างทุกเรื่องหรอกครับ เรามีเวลาจำกัด และเราก็อยู่กับเขาได้ไม่ตลอด แต่เราสามารถเลือกที่จะสอนบางเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญแล้วทำให้เขาไปต่อยอดได้เองต่อ เราป้อนให้เขาหมดไม่ได้ แต่ต้องสอนให้เขาเอาความรู้และประสบการณ์ที่เราถ่ายทอดให้ไปต่อยอดได้ คนเป็นหัวหน้าอาจจะต้องมาจัดระบบว่าเรื่องอะไรบ้างที่ลูกน้องต้องรู้ก็ต้องสอนเขา แต่ต้องอย่าสอนให้เขาอ้าปากรอความรู้อย่างเดียว ต้องสอนให้เขาไปต่อยอดความรู้ให้เป็นด้วย มันเป็นการฝึกให้เขาคิดเป็น บริหารสมอง บริหารความสามารถของลูกน้องไปได้ในตัว

 

ภาพ Fashion Set #TeamPloySonia

Photo: The Face Thailand /Instagram

 

เป็นหัวหน้าต้องยอมรับผิดได้

สิ่งที่ผมประทับใจมากในสัปดาห์นี้คือการที่เมนเทอร์ยอมรับว่าตัวเองตัดสินใจผิดและรับผิดชอบกับความผิดนั้น เมนเทอร์พลอยยอมรับว่าตีโจทย์ผิด ที่วางคาแรกเตอร์ให้อติลาเป็น Prince Charming แต่ลืมไปว่าพอแต่งหน้าเป็น Drag ปุ๊บ มันขัดกับบุคลิก Prince Charming ไปเลย เช่นเดียวกับเมนเทอร์ลูกเกดที่เลือกรูปผิด ทั้งๆ ที่ทีมมีรูปที่ดีกว่านี้มาก และเมนเทอร์ลูกเกดยอมรับความผิดพลาดนี้กับลูกทีมตัวเอง แต่สิ่งที่ประทับใจมากกว่านั้นคือ ลูกทีมทีมเมนเทอร์เกดไม่มีใครโทษหรือซ้ำเติมเมนเทอร์ตัวเองเลย ทุกคนยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและรับผิดชอบไปด้วยกัน เพราะถือว่าเป็นทีมเดียวกัน

 

ทุกคนทำผิดพลาดได้แม้กระทั่งคนที่เป็นหัวหน้า ลูกน้องเองก็ควรให้โอกาสหัวหน้า ทุกคนเรียนรู้ได้หมดจากการทำผิดพลาด เมนเทอร์พลอยก็จะได้เรียนรู้ว่า ต่อไปต้องตีโจทย์ให้แตกกว่านี้ หรือพอเห็นแล้วตอนหน้าเซตว่ามาผิดทางก็ต้องแก้เดี๋ยวนั้นได้เลย พอมีบทเรียนแล้วเราก็จะจำและนำไปปรับปรุง เมนเทอร์เกดก็ได้เรียนรู้ว่าต้องละเอียดกับการเลือกรูปมากกว่านี้ เพราะมันมีผลกับการแพ้ชนะของทีม ทั้งคู่ยอมรับผิดและโทษตัวเอง และเรียนรู้ที่จะนำข้อผิดพลาดนี้ไปปรับปรุง

 

ตัดภาพไปที่เติร์ทกับจุ๊กกู้ในห้องดำ ทั้งคู่ทำผิดพลาดในการแข่งขัน เติร์ทได้โจทย์ที่น่าจะเข้าทางตัวเองแต่ทำได้ไม่ดีเลย และตอนแข่งขันเขาก็ยังบอกว่าใครจะพูดอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าเขาทำได้ดี ซึ่งกลับกัน มันจะดีมากเลยถ้าเขายอมรับผิดว่าเขายังทำได้ไม่ดีและบอกว่าเขาได้เรียนรู้แล้ว และจะนำไปพัฒนาตัวเองใหม่ ไม่ต้องลากไปเรื่องยังหาตัวเองไม่เจอ เพราะเอาจริงๆ มาถึงระดับ All Stars แล้วต้องหาเจอ ถ้าบอกว่ายังหาตัวเองไม่เจอโดนปัดตกเลย

 

ส่วนจุ๊กกู้เองก็โทษเมนเทอร์พลอยว่าตอนหน้าเซตไม่ได้บอกว่าเธอต้องทำอย่างไร ไม่ได้บอกว่าเธอตกไฟ แต่อีกนั่นแหละ เราต้องรู้จักสังเกตตัวเอง และไม่ฝากชีวิตไว้กับคนอื่นอย่างเดียว พออยู่หน้าเซตแล้วมีคนเยอะเป็นสิบกว่าคน วุ่นวายไปหมด แต่มีเมนเทอร์กำกับอยู่คนเดียว ถ้าทีมรู้สึกว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้เราต้องช่วยเมนเทอร์เพราะเขาคนเดียวอาจจะดูได้ไม่หมด แปลว่าเราต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ด้วยเหมือนกันว่าเราตกไฟไหม และเหตุผลเดียวกับเติร์ทคือ มาถึงระดับ All Stars แล้วต้องจัดการตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเรารับผิดชอบตัวเองได้ก็จะเป็นการช่วยทีมไปด้วย ความสำเร็จของทีมมันเกิดจากการที่แต่ละคนรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง ไม่ใช่มาจากคนคนเดียวคอยกำกับทุกคนได้หมด มันต้องช่วยกัน ทีมถึงจะไปต่อได้

 

เวลาที่เกิดความผิดพลาดใดๆ ในงานที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นความผิดของใครก็ตามแต่ เราต้องกลับมาดูก่อนว่าตัวเราจะมีส่วนทำให้ความผิดพลาดนี้ไม่เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง เราได้พยายามอย่างที่สุดในการป้องกันปัญหานี้หรือยัง และเราจะเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดนี้ได้บ้าง นี่เป็นสิ่งที่เราควรจะทำเพื่อนำความผิดพลาดนั้นมาสร้างให้เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของทีม

 

Photo: The Face Thailand /Instagram

 

วิธีบอกผลการประเมินลูกน้องให้เกิดประโยชน์

ทุกสัปดาห์ผมชอบดูว่าเมนเทอร์แต่ละคนจะมีวิธีการบอกผลการแข่งขันให้ลูกทีมของตัวเองอย่างไร สัปดาห์นี้ก็เช่นกัน เมนเทอร์แต่ละคนใช้วิธีต่างกันหมด ซึ่งเราสามารถนำไปใช้กับการทำงานได้ทุกวิธี

 

เมนเทอร์ลูกเกดใช้วิธีการให้ลูกทีมประเมินตัวเองก่อนที่จะบอกผล วิธีนี้หัวหน้าเองก็จะได้ให้โอกาสลูกน้องประเมินตัวเอง ซึ่งหัวหน้าต้องเปิดใจรับฟังการประเมินตัวเองของลูกน้องด้วยว่าเขาอาจจะเห็นตรงหรือไม่ตรงกับการประเมินของเราก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือการให้เขาได้สำรวจตัวเอง รู้จักตัวเองมากขึ้น มองเห็นจุดดีจุดด้อยของตัวเอง และเปิดโอกาสให้ลูกน้องได้พูดก่อน เราเองจะได้ประเมินลูกน้องไปในตัวว่า เขารู้ตัวไหมว่าที่ผ่านมาทำงานอย่างไร เวลาที่หัวหน้าบอกผลการประเมินลูกน้องจะได้ยิ่งหนักแน่นและรอบด้านขึ้น บางอย่างถ้าเขารู้ตัวอยู่แล้ว เราจะได้ใช้เวลากับการชี้ถึงจุดที่เขาอาจจะยังมองไม่เห็นทั้งเรื่องดีและไม่ดีกับเขาได้มากขึ้น แทนที่จะพูดแต่สิ่งที่เขารู้อยู่แล้วจนหมด

 

 

เมนเทอร์ริต้าใช้วิธีการบอกข้อเสียของแต่ละคนอย่างตรงไปตรงมา อะไรไม่ดีก็บอกกันตรงๆ ถึงจะดูซอฟต์แค่ไหน แต่เมื่อต้องดุก็คือต้องดุ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่รู้ตัวว่าต้องปรับปรุงอะไรบ้าง และจะคิดว่าหัวหน้าใจดีตลอดเวลาจนไม่มีความเกรงใจ และถ้าย้อนไปดูตอนแข่งแคมเปญ ทันทีที่เมนเทอร์สามารถเข้าไปช่วยลูกทีมได้ สิ่งแรกที่เมนเทอร์ริต้าทำคือเรียกลูกทีมทุกคนมาประชุมรวมกันเพื่อเรียกสติ เพราะตอนนั้นแต่ละคนไปทั่วไปทางมาก ถ้าปล่อยไว้ต่อไปคงพัง และเมื่อเห็นข้อผิดพลาดตรงหน้าเมนเทอร์ริต้าก็รีบบอกมันตรงนั้น ดุตรงนั้น รู้ว่าเมื่อไรจะใจดี เมื่อไรจะต้องโหด

 

เมนเทอร์พลอยใช้วิธีการบอกข่าวร้ายก่อนแล้วค่อยตามด้วยข่าวดี วิธีนี้ก็น่าสนใจครับ เพราะยิ่งเป็นข่าวร้ายรีบบอกไปเนิ่นๆ คนจะได้รับมือได้ แต่มันอยู่ที่จะบอกข่าวร้ายนี้แบบไหน เมนเทอร์พลอยบอกข่าวร้ายว่าทีมแพ้ แต่ตามมาด้วยคำชมที่ลูกทีมฟังแล้วน่าจะรู้สึกมีกำลังใจและจัดการกับความผิดหวังได้ง่ายขึ้น ที่ผมชอบอีกอย่างคือตอนที่เมนเทอร์พลอยเลือกแล้วว่าจะต้องส่งจุ๊กกู้เข้าห้องดำ เมนเทอร์พลอยเรียกให้จุ๊กกู้มานั่งข้างๆ ผมรู้สึกว่ามันอบอุ่นดี บอกข่าวร้ายกับจุ๊กกู้ก็จริง แต่เรารู้สึกว่าเมนเทอร์ไม่ได้กำลังไล่ลูกทีมไปตายอย่างเดียวดาย แต่เป็นห่วงและรักลูกทีมเหมือนกัน และเมนเทอร์พลอยยังประเมินสถานการณ์อีกว่าอีกทีมจะส่งใครมาสู้ในห้องดำ พร้อมกับแนะนำวิธีการพูดโน้มน้าวใจให้ลูกทีมเอาไปใช้ในห้องดำด้วย ผมคิดว่าตรงนี้ดีมากนะครับ ต่อให้เราบอกข่าวร้ายกับลูกน้อง หรือต้องบอกผลการประเมินการทำงานที่ออกมาไม่ดีเลย เราก็ต้องให้กำลังใจเขา ต้องไม่ทำให้เขารู้สึกว่าหมดโอกาสแล้วที่จะพัฒนาตัวเอง หรือปล่อยให้เกิดความรู้สึกว่าเขาไม่มีคุณค่าเลย ผมคิดว่านี่เป็นส่วนดีที่เราจะดูจากเมนเทอร์พลอยแล้วเอาไปใช้ได้

 

อีพีนี้ถือเป็นตอนที่สนุกมากและได้ประโยชน์กับการทำงานจริงๆ (และได้เห็นว่าเมนเทอร์ริต้าไม่ได้มาเล่นๆ) สัปดาห์หน้าเราจะได้เรียนรู้อะไรจาก The Face Thailand Season 4 All Stars ที่เอาไปใช้กับการทำงานของเราได้อีก ติดตามได้ที่ THE STANDARD กับท้อฟฟี่ แบรดชอว์ครับ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising